“แสนสิริ” ปลื้มปิดดีลขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ 3 พันล้านเกลี้ยงนำเงินที่ได้ขยายลงทุน ลั่นดันยอดขายแตะ 1.2 แสนล.ใน3ปี
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขาย Subordinated Perpetual Bond หรือ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่นำเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป อัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกเท่ากับ 8.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยนักลงทุนให้การตอบรับเต็มจำนวนนำเสนอขาย 3,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อแสนสิริและความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริได้เป็นอย่างดี โดยมี 6 สถาบันการเงินซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)
นายวันจักร์ กล่าวว่า สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิในครั้งนี้ จะถูกนำมาขยายการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่มาพร้อมกับการมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยและสร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีควบคู่กัน ภายใต้แนวคิด Made for Life…Made for Everyone โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทั้งในด้านโปรดักส์ – การบริการ (Sansiri Service) – Culture หรือพื้นที่แบ่งปันไลฟ์สไตล์รวมถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตระหว่างกัน และ Sustainability หรือการทำเพื่อสังคม ชุมชนรอบตัว ในทุกที่ที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการเพื่อเติบโตไปพร้อมกับสังคม ซึ่งเป็นจุดขายที่แสนสิริแตกต่างเหนือคู่แข่ง ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ในทุกระดับราคา พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าตามแผนด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งของการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง
นายวันจักร์กล่าวว่า ทั้งนี้การเติบโตระยะยาว บริษัทมีแผนผลักดันยอดขายให้เติบโตสู่ 120,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทางได้แก่ 1.การเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงครึ่งปีหลัง จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ต่างๆบริษัทยังมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รองรับการเติบโตอีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,900 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,300 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท 2.การบริหารสต็อกที่ดี ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด
3.การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี โดยการจัดสรรเงินหมุนเวียนในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“จากผลตอบรับในการปิดการขายหุ้นกู้ด้อนสิทธิส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมีสภาพคล่องในมือรวมเป็น 12,000 ล้านบาท ทำให้มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์ และคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการที่หันมาเน้นโครงการแวราบ และรักษายอดขายและยอดโอนโครงการคอนโดมีเนียม และคาดว่าปีนี้จะมียอดขายได้ตามเป้าหมายใหม่ ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท” นายวันจักร์ กล่าว