นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานคณะกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังการรับฟังสาระและประเด็นสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่าหากประเทศไทยมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้น จะช่วยลดแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจที่มักระบุว่าประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งให้ลดลงได้ เกิดความมั่นคงเพิ่มขึ้น ส่วนกรณีที่ประชามติออกมาไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จะต้องมีการประเมินสถานการณ์ต่อไปอีกครั้งหนึ่งภายหลังวันที่ 7 สิงหาคม ว่าจะมีการเลือกตั้งได้อยู่หรือไม่ ทั้งนี้ ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เคยยืนยันก่อนหน้านี้แล้วว่า จะให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเมืองไทย ดังนั้น เอกชนคงต้องจับตามองในเรื่องนี้ต่อไป ไม่อาจคาดเดาได้ในตอนนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
“สำหรับข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาครั้งนี้ กกร.จะนำไปเผยแพร่แก่สมาชิกทั่วประเทศต่อไป แต่ก็เป็นสิทธิส่วนตัวสมาชิกแต่ละรายจะพิจารณาด้วยตัวเองว่า จะออกไปใช้สิทธิออกเสียงรับหรือไม่รับร่างธรรมนูญ โดย กกร.จะไม่มีการลงเป็นมติในเรื่องนี้ แต่จะเพียงเชิญชวนให้สมาชิกทุกคนไปใช้สิทธิในการลงประชามติในครั้งนี้” นายอิสระกล่าว
นายอิสระกล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วงว่าคนหนุ่มสาว หรือประชาชนทั่วไปบางส่วนที่จะยังไม่มีการรับรู้ในเรื่องนี้เท่าที่ควร โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้ที่ดูแลประเทศไทยต่อไปในอนาคต ดังนั้น เมื่อรับฟังข้อมูลจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ครั้งนี้แล้ว ก็จะพยายามสื่อออกไป เพื่อให้แต่ละคนออกไปใช้สิทธิ์ออกเสียงว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เพื่อประเทศชาติในอนาคตต่อไป
“เรื่องที่ผมไม่สบายใจ และเป็นความกังวลของภาคเอกชนในขณะนี้ ก็คือภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีการก่อการร้ายเพิ่มมากขึ้นในยุโรปหลายประเทศ จนกลายเป็นประเด็นปัญหาที่น่ากังวล ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่สำหรับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ กกร.ยังไม่ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยยังคงควาดหวังเป้าหมายเดิมอยู่ที่ระดับ 3 ถึง 3.5% ” นายอิสระกล่าว
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และในฐานะรองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญนั้น ผลลัพธ์ออกมาจะรับ หรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สาระสำคัญและมองว่าไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะเห็นว่ารัฐบาลมีความชัดเจนในโรดแมปเรื่องการเลือกตั้งในปี 2560 อยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากนานาประเทศ ไม่ได้สนใจร่างรัฐธรรมนูญของไทยเป็นอย่างไร แต่เขาสนใจเรื่องกระบวนการเลือกตั้งมากกว่า อย่างพม่า รัฐธรรมนูญอาจไม่ได้ดีกว่าประเทศเรา ดังนั้น จึงขอให้เป็นไปตามโรแมปปี 2560
