‘ดีแทค’ โชว์งบไตรมาส 2/63 กำไรสุทธิ 1,889 ล้านบาท โต 20%

‘ดีแทค’ โชว์งบไตรมาส 2/63 กำไรสุทธิ 1,889 ล้านบาท โต 20%

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เปิดเผยว่า บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.87 บาท ซึ่งจะจ่ายจากกำไรสะสมของบริษัท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล วันที่ 24 กรกฎาคม 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 สิงหาคม 2563

ขณะที่งดจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 และรับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 2 ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 โดยจ่ายจากกำไรของบริษัทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ในอัตราหุ้นละ 1.61 บาท (ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,812.17 ล้านบาท ซึ่งจ่ายเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้มีผลกระทบแก่ผู้ถือหุ้น เนื่องมาจากการเลื่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ของบริษัทออกไปก่อนโดยไม่มีกำหนด

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.61 บาท (ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย) เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่มีการประกาศและจ่ายไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 ในอัตราหุ้นละ 1.26 บาท จะเป็นจำนวนเงินปันผลระหว่างกาลรวมสำหรับปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 2.87 บาท คิดเป็นเงินรวม 6,795.61 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรของบริษัทในปี 2562 และสอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทแล้ว คณะกรรมการบริษัทจึงเห็นสมควรไม่เสนอการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 อีก

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,574 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 25.8% จากไตรมาสก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,501 ล้านบาท

Advertisement

โดยกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้ตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 8,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มี EBITDA อยู่ที่ 7,740 ล้านบาท เป็นผลมาจากการบริหารจัดการ

ค่าใช้จ่ายในภาพรวมที่ดีขึ้น และเพิ่มขึ้น 5.1% จากไตรมาสก่อน ที่มี EBITDA อยู่ที่ 7,669 ล้านบาท เป็นผลมาจากการบันทึกสัญญาเช่าต่างๆ เป็นสินทรัพย์การลดลงของกิจกรรมทางการขายและการตลาด รวมทั้งการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหาร

ส่วนรายได้รวมในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 19,160 ล้านบาท ลดลง 4.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,023 ล้านบาท และลดลง 4.6% จากไตรมาสก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,075 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากการบริการ และรายได้จากการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์และชุดเลขหมาย ขณะที่ยังมีการเพิ่มขึ้นของรายได้จากค่าเช่าเครือข่าย 2300 เมกะเฮิรตซ์ จากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)

Advertisement

ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) อยู่ที่ 14,630 ล้านบาท ลดลง 3.6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 15,177 ล้านบาท และลดลง 4.5% จากไตรมาสก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 15,326 ล้านบาท

ด้านรายได้จากการให้บริการหลัก (รายได้จากการให้บริการเสียงและข้อมูล) ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 14,202 ล้านบาท ลดลง 1.1% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 14,366 ล้านบาท และลดลง 3.3% จากไตรมาสก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 14,680 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงการแข่งขันในส่วนของระบบเติมเงินที่ยังคงมีความรุนแรงในไตรมาสนี้ ตัวเลขในส่วนของลูกค้าระบบรายเดือนยังคงทรงตัว

ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์และชุดเลขหมาย ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 1,378 ล้านบาท ลดลง 31.8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ ล้านบาท และลดลง 18.8% จากไตรมาสก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ ล้านบาท เป็นผลจากปริมาณขายที่ลดลง เนื่องจากกิจกรรมการขายที่น้อยลงจากการปิดร้านตามมาตรการของทางการในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีผลยาวนานตลอดเดือน เม.ย.จนถึงกลางเดือน พ.ค.2563

“ไตรมาส 2/2563 เป็นช่วงที่มีการระบาดหนักของโควิด-19 รวมถึงการปิดร้านค้านานกว่าหนึ่งเดือน วิกฤติที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว แรงงานต่างด้าว รายได้จากบริการข้ามแดนอัตโนมัติและลูกค้าใหม่ รวมถึงการใช้จ่ายของลูกค้าโดยรวม สถานการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้าในแง่ของการใช้ข้อมูลและการใช้ช่องทางดิจิทัล เราให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงผู้คนผ่านเครือข่ายที่เชื่อถือได้ของเราและมอบข้อเสนอที่สอดคล้องความต้องการในชีวิตวิถีใหม่พร้อมทั้งช่วยเหลือและสนับสนุนสังคมในวงกว้างผ่านโครงการบรรเทาทุกข์ต่างๆ เรายังคงดำเนินงานได้ 100% ตลอดช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้น และเรายังคงมุ่งมั่นในจุดยืน ที่จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล” นายชารัด กล่าว

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2563 บริษัทมีฐานลูกค้าจำนวนทั้งสิ้น 18.8 ล้านราย ลดลง 835,000 ราย จากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 การสูญเสียลูกค้านั้นมาจากจำนวนลูกค้าใหม่ที่ลดลงจากสถานการณ์ ซึ่งสืบเนื่องมาจากการปิดให้บริการร้านค้า จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการปัจจุบันในแต่ละเดือนเริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 เป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไป

นายดิลิป ปาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ดีแทค กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตในครึ่งปีหลังยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นได้ปรับการให้แนวโน้มใหม่สำหรับปี 2563 เป็นรายได้จากการให้บริการ ไม่รวม IC ในปี 2563 ติดลบในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ จากเดิมคาดเติบโตในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ เนื่องมาจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19

ทางด้าน EBITDA คาดอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 จากเดิมคาดเติบโตในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับกลาง จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และจำนวนเงินลงทุนอยู่ที่ 8,000-10,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 13,000-15,000 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเลื่อนเวลาของการสับเปลี่ยนอุปกรณ์ 850/900 เมกะเฮิรตซ์ และการพิจารณาใช้เงินลงทุนอย่างเหมาะสมที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image