‘ซิตี้แบงก์’ ประเมินจีดีพีโลกปี 63 ติดลบ -3.5% หลังเจอหลายปัจจัยเสี่ยงรุมหนัก

ซิตี้แบงก์’ ประเมินจีดีพีโลกปี 63 ติดลบ -3.5% หลังเจอหลายปัจจัยเสี่ยงรุมหนัก

นายบุญนิเศรษฐ์ ธัญวรอนันต์ ที่ปรึกษาทางการลงทุน ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์ซิตี้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2563 จะติดลบ -3.5% ก่อนที่ตลาดโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว 5.5% ในปี 2564 ในขณะที่ระดับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.8% และเพิ่มขึ้นเป็น 2.4% ในปี 2564 จากปัจจัยแนวโน้มความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก อาทิ การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ความไม่แน่นอนด้านภูมิศาสตร์การเมืองที่ยังคงตึงเครียด สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ผันผวนตลอดปีที่ผ่านมา ในขณะที่เศรษฐกิจระดับภูมิภาคคาดว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่ชะลอตัวลงเล็กน้อย -1.5% และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น 6.4% ในปี 2564 ในทางกลับกันด้านตลาดพัฒนาแล้วมีแนวโน้มชะลอการเติบโต ติดลบ -5% ในปีนี้จากผลกระทบของโควิด-19 ตลอดจนความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้การลงทุนมีความความท้าทายสูง ถึงแม้ว่าตลาดทุนทั่วโลกกลับตัวบวก 40.6% จากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม แต่ก็ยังติดลบ 4% เมื่อเทียบกับต้นปี

นายบุญนิเศรษฐ์กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยอย่างหนัก แต่ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากมาตรการคลายล็อคดาวน์ของหลายประเทศและการที่สามารถเริ่มควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ และโดยเฉพาะหากมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคได้สำเร็จ โดยจีดีพีของสหรัฐในปีนี้คาดว่าจะติดลบ -3.3% แต่เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกครั้ง จากอัตราการว่างงานที่ลดลง รวมถึงยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ 0-0.25% รวมทั้งรัฐบาลสหรัฐมีแผนอัดฉีดเงินมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนยุโรปคาดว่าจีดีพีจะลดลง 6.7%

“เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในปีนี้จะโต 0.5% โดยเฉพาะประเทศจีนที่อาจโตแตะ 2.4% เนื่องจากความต้องการภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้จากจีนที่แม้เป็นประเทศแรกที่เผชิญหน้ากับไวรัส แต่ก็เริ่มเห็นการกลับมาทำกิจกรรมในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยไตรมาส 1 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ด้านเศรษฐกิจอื่นๆ พบว่าช่วงไตรมาส 2 ส่วนใหญ่ยังคงเห็นการถดถอยอยู่ก่อนที่จะมีการค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมามีการฟื้นตัวใหม่อีกครั้ง แนวโน้มจะเป็นการฟื้นตัวแบบไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค” นายบุญนิเศรษฐ์กล่าว

นายบุญนิเศรษฐ์กล่าวว่า ด้านน้ำมันยังคงเป็นที่น่าจับตา โดยน้ำมันดิบยังมีอุปสงค์สวนทางกับอุปทานจึงคาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เฉลี่ยอยู่ที่ 42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (ดับเบิลยูทีไอ) เฉลี่ยอยู่ที่ 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนทองคำยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 -1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวโน้มว่ามูลค่าเฉลี่ยจะขยับขึ้นในระดับประมาณ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในปี 2564 ในส่วนค่าเงินต้องจับตาเป็นพิเศษเพราะยังคงมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ที่คาดยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะกลางถึงระยะยาว และให้กรอบการเคลื่อนไหวเงินบาทไทยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 31.0 – 31.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

Advertisement

“ขณะนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มวัฎจักรที่คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมแนะนำนักลงทุนให้น้ำหนักในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชียและกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สุขภาพ กลุ่มโทรคมนาคมและเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชั่น รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สกุลเงินเยน ตลอดจนการลงทุนในทองคำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งจะสามารถช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน แต่ต้องติดตามประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ในระยะยาวและลดความเสี่ยงจากการลงทุนท่ามกลางสภาวะผันผวน” นายบุญนิเศรษฐ์กล่าว

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ซิตี้แบงก์ได้มีการพัฒนาธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยวางกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าระดับบนและการพัฒนาการให้บริการด้านการบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรสำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวผ่านกลยุทธ์ต่าง ล่าสุดร่วมกับพาร์ทเนอร์ UBS และ JP Morgan นำเสนอกองทุนรวมชั้นนำของโลกเพื่อเพิ่มทางเลือกการกระจายความหลากหลายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกระจายการลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนUBS China A Opportunity fund, UBS China Opportunity fund, JP Morgan China Pioneer fund, JP Morgan US Technology fund

นายดอนกล่าวว่า นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลแบงก์กิ้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสบการณ์การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในสถานการณ์ช่วงนี้ที่ลูกค้าอาจจะไม่สะดวกในการเดินทางมาที่สาขา โดยได้ขยายบริการการยืนยันการธุรกรรมให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มเติมบริการในการเปิดบัญชีเงินฝาก และการทำธุรกรรมการโอนเงินผ่าน Authorization corner อีกด้วย และในอนาคตก็มีแผนจะขยายการใช้งานของฟีเจอร์นี้ไปถึงเอกสารประเภทอื่น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งการแลกเงินและโอนเงินไปต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายกับซิตี้แบงก์ ลูกค้าสามารถโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารซิตี้แบงก์ได้ทั่วโลกผ่านช่องทางออนไลน์ โดยปลายทางได้รับเงินทันทีและไม่เสียค่าใช้จ่าย และเมื่อเร็วๆ นี้เราได้พัฒนาบริการโอนเงินไปต่างประเทศแบบผ่าน Swift ให้ครอบคลุมถึง 38 สกุลเงิน ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถรู้อัตราแลกเปลี่ยนและจำนวนเงินโอนในสกุลท้องถิ่นที่แน่นอนได้ทันที นอกจากนี้ เรามีบริการซิตี้แบงก์ โกลบอล วอลเล็ท ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถใช้จ่ายจากบัญชีสกุลเงินต่างประเทศได้โดยตรงผ่านบัตรซิตี้แบงก์ เดบิต มาสเตอร์การ์ด ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายออนไลน์หรือในต่างประเทศ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงินเพิ่มเติม ซึ่งลูกค้าสามารถแลกเงินไว้เพื่อใช้จ่ายได้มากถึง 8 สกุลเงินผ่านซิตี้โมบายล์แอป โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเช่นกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image