ทองคำไทยพุ่งไม่หยุด ล่าสุดขึ้นอีก 250 บาท ดันราคาทองรูปพรรณ ขายออกแตะ 30,800 บาท
วันที่ 7 สิงหาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาทองคำในประเทศว่า สมาคมค้าทองคำมีการปรับเปลี่ยนราคาทองคำ 8 ครั้ง โดยครั้งแรกปรับขึ้นทันที 300 บาท และปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง จำนวน 50 บาท ก่อนปรับลดลง 4 ครั้ง จำนวนครั้งละ 50 บาท ทำให้ราคาทองแท่งขายออก อยู่ที่บาท (บาททองคำ) ละ 30,300 บาท รับซื้อ 30,200 บาทส่วนทองรูปพรรณ ขายออก 30,800 บาท รับซื้อ 29,652.96 บาท ส่วนทองสปอตอยู่ที่ 2,058.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์อัตราแลกเปลี่ยน 31.17 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยราคาทองคำวันนี้ปรับเพิ่มขึ้น 250 บาท หากเทียบกับราคาทองคำในวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นรวม 350 บาท
โดยนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำ ราคาทองคำสามารถสร้างระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ในระหว่างวันเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรสลับออกมามาก ทำให้ราคาย่อตัวลงเล็กน้อย ซึ่งทำให้ราคาปรับเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้น โดยประเมินแนวรับระยะสันอยู่ในบริเวณ 2,047 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หากราคายังไม่หลุดระดับดังกล่าง ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 2,069-2,075 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ โดยราคาทองคำไทยปรับขึ้นมาทำจุดสูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งราคาอยู่ที่ 20,150 บาท และหากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 8,750 บาท ซึ่งถือเป็นการปรับระดับขึ้นแบบร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มในระยะถัดไป มองว่ายังคงเป็นขาขึ้นได้ หากปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความกังวลให้กับตลาดยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
นางสาวฐิภากล่าวว่า กลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุน ให้เน้นการ ลงทุนในระยะสั้น โดยดูแนวบริเวณ 2,047 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หากยืนได้สามารถเข้าซื้อเก็งกำไรในระยะสั้นได้อยู่ แต่หากราคาหลุดระดับ 2,047 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ให้คงไว้เป็นจุดตัดขายขาดทุนและชะลอการเข้าซื้อเพิ่มเติมออกไปก่อน ขณะที่ในช่วงนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแนะนำให้แบ่งทองคำออกขายมาขายทำกำไรเป็นล็อตก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการที่ราคาปรับลดลง
“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่อง หลักๆ มาจากการระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุดพบว่าส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2/2563 ติดลบกว่า 32% รวมถึงความกังวลปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน ที่กลับมาสร้างความไม่มั่นใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และคงมีความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเกิดความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์จากสภาพคล่องที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้นักลงทุน และธนาคารกลางหลายประเทศสะสมทองคำมากขึ้นเมื่อความต้องการทองคำมากขึ้น ขณะที่ความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแบบรุนแรงไม่ลดลง ราคาทองคำก็ไม่มีทางปรับลดลงแบบเร็วและแรงแน่นอน” นางสาวฐิภากล่าว