อินทัช เผยกำไรครึ่งแรกปี 63 กวาด 5,721 ลบ. พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.15 บาท

นายเอนก พนาอภิชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

อินทัช เผยกำไรครึ่งแรกปี 63 กวาด 5,721 ลบ. พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.15 บาท

นายเอนก พนาอภิชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องจากอินทัช ประกอบธุรกิจการลงทุนโดยเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น ดังนั้น เมื่อบริษัทที่เข้าลงทุนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้รับผลกระทบตาม โดยกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกลดลง 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 5,721 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลกำไรของเอไอเอสลดลง 8.3% จากการลดลงของรายได้ ขณะที่ไทยคมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นโดยพลิกจากการรับรู้ผลขาดทุน 69 ล้านบาท มาเป็นกำไร 286 ล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากเงินชดเชยในไตรมาสที่ 2/2563”

นายเอนก กล่าวว่า สำหรับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส มีผลกำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 ที่ 14,239 ล้านบาท ลดลง 7.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง 4.5% ในขณะที่ธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมีรายได้เติบโตขึ้น 25% เป็นผลมาจากการทำงานที่บ้าน (เวิร์กฟอร์มโฮม) และเรียนที่บ้าน (เลิร์นฟรอมโฮม) ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าทั้งสิ้น 1.2 ล้านราย มีจำนวนลูกค้าใหม่สูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการ นอกจากนี้ รายได้จากการให้บริการลูกค้าองค์กรเพิ่มขึ้น 5.4% จากความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์, คลาวด์ และไอซีทีโซลูชั่น เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลังจากได้รับคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ เอไอเอสได้ขยายโครงข่าย 5G ครบ 77 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 50% ในพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยภายในปี 2563 จะขยายบริการ 5G ให้ครอบคลุม 13% ของประชากรไทย และ 50% ของประชากรในกรุงเทพ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้กับประเทศ รองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มมากขึ้น และสร้างการเติบโตในระยะยาว

“ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 695 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 168 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้เงินชดเชยประกอบกับการลดลงของค่าเสื่อมราคาของดาวเทียมจากการปลดระวางดาวเทียมไทยคม 5 รวมทั้งการด้อยค่าของดาวเทียมดวงอื่นๆ ในปี 2562 ทั้งนี้ ไทยคมมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐเพื่อบริหารดาวเทียมภายหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน และให้ความสำคัญกับการศึกษาพัฒนาธุรกิจใหม่โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้บริการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียม อาทิ ธุรกิจดาวเทียมวงโคจรต่ำ โดรนเพื่อการเกษตร และอากาศยานไร้คนขับ เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีจากอวกาศสู่ภาคพื้นดิน และสมาร์ทโซลูชั่นชั้นนำแห่งเอเชีย” นายเอนก กล่าว

Advertisement

นายเอนก กล่าวว่า ขณะที่ช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โครงการอินเว้นท์ ลงทุนรวม 202 ล้านบาท ใน 3 บริษัทใหม่ ประกอบด้วย บริษัท แอกซินัน พีทีอี ลิมิเต็ด ให้บริการประกันภัยดิจิทัลครอบคลุมสินค้ากลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ บ้าน และอุบัติเหตุส่วนบุคคล, บริษัท ดาต้าฟาร์ม จำกัด ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยทางด้านไอที (ไอทีซีเคียวริตี้) ช่วยปกป้องข้อมูลจากการโจมตีทางไซเบอร์ และบริษัท พาโรนีม ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มโฆษณาในรูปแบบวิดีโอจากประเทศญี่ปุ่น ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทันทีผ่านหน้าจอ ต่อยอดด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั้งในเรื่อง Objective tracking และ Heat map tool ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของพาโรนีม เพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ตอบสนองต่อโฆษณาได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ได้ลงทุนเพิ่มในบริษัทที่ได้ลงทุนไปแล้วคือ บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ พีทีอี ลิมิเต็ด ผู้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินและออกแบบแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับนักลงทุนโดยตรงเพื่อช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการธุรกิจ ทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนภายใต้โครงการอินเว้นท์ (ที่รวมมูลค่าบริษัทที่ได้ขายออกไป) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ 1,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,051 ล้านบาท ในสิ้นปี 2562 และมีบริษัทที่อยู่ภายใต้การลงทุนของอินเว้นท์ในปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 17 บริษัท

สำหรับทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 อินเว้นท์ยังคงนโยบายการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และธุรกิจดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีเกิดใหม่ หรือเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งแสวงหาการลงทุนที่สามารถต่อยอดเทคโนโลยี 5G ในอนาคต ทั้งนี้ การลงทุนของอินเว้นท์นอกจากจะลงทุนในประเทศไทยแล้ว ยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย

Advertisement

“อินทัช และบริษัทในเครือยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเพื่อตอบรับเทคโนโลยี 5G และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อต่อยอดการเติบโตให้กับกลุ่มอินทัช และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น” นายเอนก กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image