‘ตลท.’ ยันตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่ง พร้อมแสดงศักยภาพผ่านงานสัมมนา ‘ไทยแลนด์ โฟกัส 2020’

‘ตลท.’ ยันตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่ง พร้อมแสดงศักยภาพผ่านงานสัมมนา ‘ไทยแลนด์ โฟกัส 2020’

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า งานสัมมนาไทยแลนด์ โฟกัส 2020 ครั้งนี้ถือเป็นปีแรกที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพ แต่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนและชะงักงันต่อเศรษฐกิจโลกด้วย ซึ่งการแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความตระหนกในทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศ สังคม หรือครัวเรือน จึงอยากจะใช้โอกาสนี้ เพื่อแสดงว่าตลาดทุนของไทยนั้นมีความแข็งแกร่งและทนทานต่อวิกฤตนี้ และบริษัทต่างๆ ของไทยได้เปลี่ยนแปลงผ่านพัฒนาตนเองเข้าสู่โลกความปกติวิถีใหม่ (นิวนอร์มอล) โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ความกังวลเรื่องการระบาดของโควิด-19 และภาวะของเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดทุนปั่นป่วน ซึ่งดัชนีหุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรงในเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา แต่ด้วยปัจจัยแห่งความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย ทำให้สามารถผ่านพ้นช่วงยากลำบากนั้นมาได้ด้วยดี

นายภากรกล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งมี 3 ประการ ได้แก่ 1.การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกที่ยืนยันในประเทศเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีร่วงลงถึง 37% และสามารถดีดกลับมาในปลายเดือนมิถุนายน และแตะระดับใกล้กับก่อนเกิดวิกฤตได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าดัชนีฟื้นตัวมาสู่ระดับก่อนเกิดปัญหาในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ขณะที่ประเทศไทยกำลังผ่อนคลายในธุรกิจต่างๆ ให้กลับมาประกอบการได้เช่นเดิม รวมทั้งอนุมัติให้มีการเดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้อย่างจำกัด ดัชนีของตลาดและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป 2.มีโอกาสอันมากมายในตลาดทุน สะท้อนได้จากการเข้าระดมทุน (ไอพีโอ) ของบริษัทใหม่ๆ ที่เคยถูกเลื่อนออกไปในช่วงการระบาดรุนแรงโควิด-19 เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ธุรกิจกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งแม้ว่าปีนี้จะมีความชะงักงันอันเนื่องมาจากโรคระบาด แต่ก็มีการระดมทุนในตลาดสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับระดับของหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ก็ยังมีหลักทรัพย์ถึง 30 ตัวที่กำลังรอเปิดตัวอยู่

“นักลงทุนมีความกระตือรือร้นในการลงทุนในตลาดตราสารทุน ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ และประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดโควิด-19ได้ บรรดานักลงทุนท้องถิ่นก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง มีการเข้ามาซื้อขายในตลาดของนักลงทุนรายย่อยพุ่งขึ้น และกระตุ้นให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อวันในปี 2563 และในช่วงครึ่งแรกของปี  มีบัญชีซื้อขายรายย่อยเปิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 190,000 บัญชี โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วทั้งปีถึง 34% รวมถึงมองว่าความท้าทายใหม่ๆ สามารถเกิดขึ้นทั่วโลก โดยไม่มีคำเตือนก่อน เราจะต้องรักษาสมดุลแห่งความกังวลเรื่องสุขภาพ และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมทั้งการปรับตัวสู่ยุคนิวนอร์มอล รวมทั้งเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  โดยเชื่อว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทย ต่างก็พร้อมที่จะสถาปนาตัวเองเพื่อให้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งหวังว่าประชาคมโลกจะเห็นถึงโอกาสมากมายในประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายอันหลากหลาย รวมทั้งความแปลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งที่สามารถคาดการณ์ได้และคาดการณ์ไม่ได้” นายภากรกล่าว

นายภากรกล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจทั่วโลกปั่นป่วน บริษัทต่างๆ ต้องคิดหายุทธศาสตร์ใหม่ สร้างฐานรายได้ใหม่ รวมทั้งหาหนทางก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยมีการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง เพื่ออยู่รอดจากปัญหาที่ท้าทายในอนาคต ต้องสามารถที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อสนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจความคิดเห็นที่ทำเมื่อเกิดวิกฤตขึ้น เห็นว่าบริษัทของไทยมีความสามารถในการปรับตัวในสี่ด้านด้วยกันคือ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ มีกระบวนการปรับตัวเพื่อประกันความต่อเนื่อง, ความเชื่อมโยง และการเข้าถึง บริการทั้งหลายที่มีอยู่ มีสภาพคล่องของกระแสเงินสด และการกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) และสามารถบริหารคนได้ ซึ่งถือเป็นกลยุทธที่สำคัญสำหรับบริษัทที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า เพราะว่าพนักงานเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของบริษัทในโลกนิวนอร์มอล มาตรการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีความสุข และปลอดภัย อาทิ แพลตฟอร์มที่ทำให้สามารถทำงานได้ทุกที่  การประชุมออนไลน์ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image