ไทยออยล์หนุนรัฐจ้างงาน 2.1 หมื่นอัตรา ผ่านโครงการพลังงานสะอาด

ไทยออยล์หนุนรัฐจ้างงาน 2.1 หมื่นอัตรา ผ่านโครงการพลังงานสะอาด หนุนพนง.เที่ยวเวิร์คเคชั่น ไทยแลนด์

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากไวรัสโควิด-19 ว่า ปัจจุบันไทยออยล์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด หรือ ซีเอฟพี ซึ่งถือเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาคเอกชนโครงการแรกในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ใช้เม็ดเงินลงทุนสูงถึงกว่า 150,000 ล้านบาท ประเมินว่าโครงการ นี้จะช่วยก่อให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศโดยตรงมากกว่า 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศประมาณ 17,000 ล้านบาท และการจ้างงานประมาณ 23,000 ล้านบาท โดยช่วงก่อสร้างโครงการตั้งแต่ปี 2562 – 2566 ประเมินว่าจะมีการจ้างงานโดยรวมสูงถึง 21,000 อัตรา ปัจจุบันมีการจ้างแรงงานไปแล้วประมาณ 12,000 อัตรา ส่วนที่เหลือประมาณ 9,000 อัตราจะมีการจัดจ้างภายในปี 2564 นอกจากนี้ยังจะมีการจ้างงานเพิ่มเติมอีก 400 อัตรา เพื่อรองรับการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการในปี 2566

นายวิรัตน์ กล่าวว่า โครงการซีเอฟพีต้องใช้แรงงานและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในช่วงระหว่างการก่อสร้างจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการจับจ่ายใช้สอยอุปโภคบริโภค โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และการท่องเที่ยวในพื้นที่ ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นบริเวณพื้นที่อำเภอศรีราชา และบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ไทยออยล์ยังเข้าร่วมให้การสนับสนุน “โครงการ Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้รวมใจช่วยชาติ” เป็นมูลค่า 1,000,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมโดยไทยออยล์ จะใช้ประโยชน์จากแพคเกจที่พักในราคาพิเศษที่ได้รับจากโครงการนี้สำหรับการฝึกอบรม สัมมนาพนักงาน และ เป็นที่พักของผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษาที่เข้ามาช่วยงานโครงการซีพีเอฟ

“โครงการพลังงานสะอาด หรือ ซีเอฟพี เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกลั่นน้ำมันของไทยออยล์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันด้วยการขยายกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน มีการเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์น้ำมันให้มีคุณภาพและราคาที่สูงขึ้น อีกทั้งยังผลิตสารตั้งต้นที่สามารถต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ไปสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอีกด้วย”นายวิรัตน์กล่าว