‘ก้องเกียรติ’ แนะรัฐดึงต่างชาติศักยภาพแน่น พัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ชงแก้กฎหมายขัดการเติบโต

‘ก้องเกียรติ’ แนะรัฐดึงต่างชาติศักยภาพแน่น พัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ชงแก้กฎหมายขัดการเติบโต

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยต้องอาศัยการขับเคลื่อนผ่าน 2 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการในระยะสั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเร่งช่วยเหลือปัญหาเรื่องปากท้อง เพื่อช่วยให้ประชาชนและธุรกิจผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ และเสียหายน้อยที่สุด รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรัคเจอร์) ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการ และ 2.มาตรการในระยะยาว ซึ่งมีความกังวลและเป็นห่วงในส่วนนี้มากที่สุด เพราะที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับการเร่งรัดออกมาตรการช่วยเหลือ และพัฒนาในระยะสั้นมากกว่า อาทิ การช่วยเหลือในภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคเกษตร และภาคการท่องเที่ยว แต่ในระยะยาว สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญในการพัฒนามากที่สุดคือ ด้านเทคโนโลยีและไอทีต่างๆ เนื่องจากจะเป็นเครื่องมือในการช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด แต่ที่ผ่านมายังไม่เห็นมีรัฐบาลชุดใดให้ความสำคัญ หรือเข้ามาผลักดันด้านเทคโนโลยี ทั้งที่เป็นเรื่องควรต้องทำ ซึ่งสวนทางกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ เนื่องจากประเทศเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้ายเทคโนโลยีมากเป็นอันดับแรก

“หากประเมินจากประเทศรอบบ้านของไทย จะเห็นว่าหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมาก ทำให้การเติบโตของประเทศไปอย่างรวดเร็ว โดยอยากให้ดูโมเดลของสิงคโปร์ ที่พัฒนาประเทศผ่านการดึงคนเก่งเข้ามา ซึ่งมองว่าหากประเทศไทยสามารถเปิดให้ต่างชาติในสายงายวิจัย เทคโนโลยี และวิศวกรรม เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อพัฒนางานในสายนี้ มองว่าจะช่วยให้ประเทศเดินหน้าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดมากขึ้น โดยหากมองในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปรียบหลายธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง แต่ต้องมองความเสี่ยงที่จะเกิดขี้นในระยะยาวด้วย อาทิ ภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออก ที่หลายธุรกิจเริ่มย้ายฐานการผลิตแล้ว เพราะถึงจุดที่ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบในด้านการแข่งขันมากนัก นักลงทุนต่างชาติก็จะย้ายฐานไปยังประเทศอื่นแทน เราจึงต้องหนีขึ้นไปหาธุรกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต” นายก้องเกียรติ กล่าว

นายก้องเกียรติ กล่าวว่า การดึงต่างชาติที่มีความรู้ในสายงานด้านเทคโนโลยี วัจัย และไอทีเข้ามาทำงานในประเทศ จะต้องอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่า การอนุญาตให้สามารถซื้อบ้านได้ รวมถึงการปรับแก้กฎหมายต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนประเทศ และการเติบโตในอนาคต เพราะเชื่อว่าต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย ต้องอยู่อาศัยอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่เงินเดือนของคนสายงานนี้จะค่อนข้างสูง ศักยภาพในการใช้จ่ายจึงมีสูงมากตามไปด้วย โดยหากรัฐบาลสามารถดึงต่างชาติกลุ่มนี้เข้ามาได้เพียง 500,000 คน เชื่อว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจไทยไม่น้อยกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่พยายามกระตุ้นให้เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมองว่าอนาคตของประเทศไทย ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของบุคลากรในประเทศด้วย โดยต้องเร่งพัฒนาและสร้างองค์ความรู้ในด้านเทคโนโลยี รวมถึงปรับเรื่องระบบการศึกษาไทยให้มีมาตรฐานมากขึ้น

นายก้องเกียรติ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2564 ประเมินว่ายังมีความเหนื่อยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่ยอมปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง ที่เชื่อว่าสุดท้ายจะต้องปิดตัวลงอีกจำนวนมาก เพราะนอกจากจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้วยังต้องเจอการดิสรัปชั่นจากเทคโนโลยีด้วย โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาโตได้ดีขึ้น เป็นการค้นพบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่สามารถใช้รักษาคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ในรูปแบบที่ต้องกักตัว 14 วันหมดไป โดยมองว่ากว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาได้เหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด-19 จะต้องใช้เวลาอีกหลายปี ส่วนจะใช้เวลามากหรือน้อยเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าเป็นกลุ่มธุรกิจประเภทใด และขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก ที่นำโดยเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยมาก แต่หากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวและสายการบิน ก็ได้รับผลกระทบรุนแรงไม่แตกต่างกัน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image