คิดเห็น share : โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งสหรัฐ : ผลกระทบต่อการค้าไทย : พิมพ์ชนก วอนขอพร
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน ตอนนี้ก็ใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐเข้ามาทุกทีแล้ว ทั่วโลกรวมทั้งไทยด้วย กําลังจับตามองว่าใครจะมาเป็นผู้นําคนต่อไปของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และคู่ค้าสําคัญของไทย ซึ่งนโยบายของ สอง candidates จะต่างกันค่อนข้างมากค่ะ
นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน น่าจะยังคงเป็นไปตามแนวทางอเมริกามาก่อน “America First” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน โดยนโยบายด้านการค้าต่างประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ น่าจะคงไว้ซึ่งการดําเนินนโยบายออกแนวใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เพื่อกดดันให้คู่เจรจายอมเจรจาสองฝ่ายหรือทํา deal ในด้านความขัดแย้งกับจีนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น และขยายไปยังประเด็นอื่นๆ อาทิ ด้านเทคโนโลยี การเมือง (เช่น ฮ่องกง) เพื่อกดดันให้มีการย้ายฐานการผลิตในจีนกลับสู่สหรัฐ
ขณะที่ผู้สมัครชิงตําแหน่งจากพรรเดโมแครต อย่างนายโจ ไบเดน ได้มีการประกาศนโยบาย Buy American ที่ส่งเสริมการซื้อสินค้า และพัฒนาเทคโนโลยีที่ผลิตในสหรัฐ เพื่อให้ผลประโยชน์เกิดแก่ชาวอเมริกัน อย่างแท้จริง และเกิดการจ้างงานมากขึ้น นอกจากนี้ นายไบเดนยังมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นการลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐาน ในกลุ่มพลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในด้านการค้าระหว่างประเทศ มุ่งเน้นนโยบายสนับสนุนการดําเนินธุรกิจแบบเสรี ยึดกฎกติกาสากล และมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือด้านการค้าแบบ พหุภาคีและภูมิภาค ซึ่งน่าจะสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น ในด้านนโยบายกับจีน น่าจะเป็นไปในแนวทางที่ประนีประนอมมากขึ้น ด้วยการสร้างพันธมิตรกับประเทศอื่นเพื่อกดดันจีน
ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 นโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ จะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้าไทยชัดเจนขึ้น โดยอาจกระทบต่อการส่งออกไทยในบางกลุ่มสินค้า โดยหากไบเดนชนะการเลือกตั้ง การมุ่งนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด จะส่งผลต่อการส่งออกรถยนต์สันดาปของไทย ซึ่งปัจจุบันสหรัฐเป็นตลาดส่งออกสําคัญอันดับ 6 ของไทย มูลค่า 696.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วน ร้อยละ 4.72 ของการส่งออก 9 เดือน ในปี 2563 นอกจากนี้ การดําเนินความสัมพันธ์ทางการค้าแบบประนีประนอม มากขึ้นและมุ่งเน้นการเป็นพันธมิตรกับประเทศต่างๆ ทําให้มีการคาดการณ์ว่าไบเดนอาจผ่อนคลายมาตรการทางภาษีให้ประเทศพันธมิตร อาทิ สหภาพยุโรป ที่ถูกบังคับใช้ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งเป็นคู่แข่งของไทย
สําหรับประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนนั้น ดิฉันมองว่าหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ก็มีแนวโน้มว่าจะยังใช้มาตรการทางภาษีและประเด็นอื่นๆ กับจีนต่อไป กดดันบรรยากาศการค้าโลกและการฟื้นตัว เศรษฐกิจจากโควิด-19 แต่ไทยจะยังสามารถประคับประคองและปรับตัวได้อย่างเช่นที่ผ่านมา สะท้อนจากที่ไทย สามารถใช้โอกาสในการทดแทนสินค้าภายใต้มาตรการระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารปรุงแต่งและ เครื่องดื่ม (ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ผักและผลไม้สดและแปรรูป) เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และของใช้ในบ้านและออฟฟิศ ทําให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยสูงขึ้นต่อเนื่องทั้งในสหรัฐและจีน โดยส่วนแบ่งตลาดของไทยในสหรัฐเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 1.26 ในปี 2561 เป็น ร้อยละ1.35 ในปี 2562 และร้อยละ 1.63 ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 และ ส่วนแบ่งตลาดของไทยในจีน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 2.10 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 2.23 ในปี 2562 และร้อยละ 2.60 ช่วง 7 เดือนแรกปี 2563
กรณีที่ไบเดนชนะการเลือกตั้ง ประเมินว่าผลกระทบสงครามการค้าจะเบาบางลง ส่งผลดีต่อ การส่งออกไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานจีน อาทิ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยาง และผลิตภัณฑ์พลาสติก และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้
สําหรับแนวทางการรับมือของไทยนั้น ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยสามารถสร้างพลังและอํานาจต่อรองทางเศรษฐกิจจากการผนึกกําลังกับประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สําคัญสอดคล้องกับทั้งยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกของสหรัฐ และความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งทางของจีน อีกทั้งภูมิภาคอาเซียนจะเป็นพันธมิตรที่สหรัฐอเมริกาจะให้ความสําคัญเพื่อคานอํานาจจีนไม่ว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเป็นใคร ไทยจึงควรเร่งผลักดันการเชื่อมโยง และใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน อาเซียนพลัส RCEP และระดับอนุภูมิภาค เช่น CLMVT และ GMS ตลอดจนการกระชับความสัมพันธ์ทั้งระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน
นอกจากนี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและการลงทุน ที่มีแนวโน้มเคลื่อนย้ายมาสู่ อาเซียนมากขึ้น ไทยควรเร่งสร้างบรรยากาศการลงทุนในประเทศ ที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย ลดอุปสรรคทางการค้า และยกระดับความสามารถในการแข่งขันระยะยาว รวมทั้งเร่งพัฒนาและยกระดับกฎระเบียบภายในประเทศ/มาตรฐาน ทางการค้าให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับแนวโน้มการทําข้อตกลงทางการค้ารูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมและมีมาตรฐานสูง เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนพัฒนาและยกระดับสินค้าส่งออกไทยให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการโลกยุคใหม่ เพื่อเสริมจุดแข็งและสร้างแต้มต่อให้ไทยยังคงมีบทบาทในการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานภูมิภาคอาเซียน และห่วงโซ่อุปทานโลก
ด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐนั้น นอกเหนือจากการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าแล้ว ประเทศไทยควรเสริมสร้างความสัมพันธ์ในมิติอื่นๆ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะผ่านอํานาจละมุน (soft power) เช่น ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ความร่วมมือด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม การวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในสาขาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศของไทยด้วย
ปัจจุบันสหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากอาเซียน จีน และญี่ปุ่น สินค้าส่งออกสําคัญของไทยไป สหรัฐ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหารทะเลและผลไม้กระป๋องและแปรรูป เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ทั้งนี้ ท่ามกลางสงคราม การค้าและการแพร่ระบาดโควิด-19 การส่งออกไทยไปสหรัฐ เดือนกันยายน 2563 ยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่องเป็นเดือน ที่ 4 ที่ร้อยละ 19.7 และรวม 9 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 7.4
พิมพ์ชนก วอนขอพร
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า