สมาคมโรงแรมไทยหนุน ‘เจ้าสัวเจริญ’ ตั้งกองทุนช้อปโรงแรมดีกว่า ตปท.ซื้อ

สมาคมโรงแรมไทยหนุน ‘เจ้าสัวเจริญ’ ตั้งกองทุนช้อปโรงแรมดีกว่า ตปท.ซื้อ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน กรณี นายเจริญ สิริวัฒนภักดี กลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC มีแนวคิดจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในธุรกิจโรงแรม ผ่านการเข้าซื้อโรงแรมที่ประสบปัญหาด้านการเงิน หรือขาดสภาพคล่องหนัก นางศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมว่า เบื้องต้นสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว และต้องการให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเร็วที่สุด เนื่องจากอย่างน้อยกลุ่มบริษัท แอสเสทฯ ก็เป็นธุรกิจของคนไทย 100% และการเข้าซื้อธุรกิจโรงแรม ก็เป็นการเข้าซื้อผ่านกองทุน ซึ่งเชื่อว่าคนที่จะมาซื้อกองทุนก็ต้องเป็นคนไทย ทำให้หากมีการซื้อขายธุรกิจโรงแรมก็จะอยู่ในแวดวงของผู้ประกอบการไทย น่าจะดีกว่าการเห็นธุรกิจโรงแรมไทย ถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของนักลงทุนต่างชาติแทน

“การที่ธุรกิจโรงแรมไทยถูกซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการไทยด้วยกัน อย่างน้อยเม็ดเงินก็ยังหมุนเวียนอยู่ในประเทศ และอยู่ในมือของคนไทย แต่หากเป็นนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อขาด ก็จะเป็นการนำโรงแรมไปบริหารและสร้างรายได้ให้กับต่างชาติ ที่สำคัญหากเป็นต่างชาติแบบตั้งบริษัทในไทย แต่ตัวจริงอยู่ต่างชาติ แบบเป็นผู้ประกอบการต่างชาติ 100% ก็จะเป็นการนำเงินที่ได้จากในประเทศ ส่งกลับไปยังประเทศต้นทางแทน” นางศุภวรรณ กล่าว

นางศุภวรรณ กล่าวว่า การตั้งกองทุนดังกล่าว เงื่อนไขแรกๆ ที่ควรมีคือ กำหนดเงื่อนไขในการซื้อคืน โดยต้องการให้กำหนดว่า หากเจ้าของกิจการเดิมมีความสามารถทางการเงินกลับมาฟื้นตัวแล้ว ต้องการซื้อโรงแรมคืน จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และมีความยืดหยุ่นในการคืนเงินเข้ากองทุน อาทิ ทุกปีจะต้องมีค่าเช่า หรือดอกเบี้ยให้ในสัดส่วนเท่าใด และหากมีปัญหารุนแรงสามารถยืดหยุ่นการจ่ายค่าเช่า หรือสัดส่วนในการจ่ายดอกเบี้ยได้เท่าใด เพราะมีบทเรียนของการเกิดโควิด-19 มาแล้ว การเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายจึงมีความสำคัญมาก
นางศุภวรรณ กล่าวว่า สำหรับความกังวลในส่วนของการผูกขาดของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่เพียงเจ้าเดียว หรือการกดราคาระหว่างธุรกิจโรงแรมด้วยกันนั้น เบื้องต้นประเมินว่า ไม่น่าจะออกมาในรูปการผูกขาดหรือการกดราคาได้ เพราะแต่ละรูปแบบโรงแรมมีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของระดับ 3-5 ดาว และพื้นที่ตั้งของโรงแรมแต่ละแห่ง เพราะโรงแรมส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถกดราคาโรงแรมในระดับที่ต่างกันให้มาเท่ากันได้ รวมถึงโรงแรมแต่ละระดับก็มีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันด้วย

นางศุภวรรณ กล่าวว่า ในส่วนของภาพรวมสถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ขณะนี้ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร เนื่องจากยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ในจำนวนที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจท่องเที่ยวเพิ่มเติม จึงเห็นภาพโรงแรมในตอนนี้ยังไม่ได้กลับมาเปิดดำเนินการตามปกติ 100% เพราะเปิดแล้วรายได้ไม่ฟื้นกลับมา แต่รายได้จ่ายและต้นทุนมีมากขึ้น ยกเว้นโรงแรมในพื้นที่ที่รับนักท่องเที่ยวตลาดไทยเที่ยวไทย เพราะมีรายได้เข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีเป็นปกติ เนื่องจากตลาดไทยเที่ยวไทยยังติดข้อจำกัดของการเดินทางท่องเที่ยวเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดยาวเท่านั้น เพราะวันธรรมดาก็ต้องทำงาน ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นออกมาก็ตาม

Advertisement

“นักลงทุนต่างชาติมีการสอบถามและแสดงความต้องการเข้าซื้อธุรกิจโรงแรมไทย เข้ามาเป็นระยะๆ แต่ต้องรอการตกลงกันอย่างเป็นทางการอยู่ดี ส่วนผู้ประกอบการโรงแรมไทย ก็มีการพูดว่า ต้องการขาย เพราะบางรายก็ขาดสภาพคล่องจริงๆ แต่การจะขายกิจการ ก็ต้องพิจารณาแล้วว่าไม่ไหวจริงๆ เพราะคนเป็นผู้ประกอบการ หากยังไหวอยู่ ก็ต้องหาทุกทางในการประคองธุรกิจไปก่อน” นางศุภวรรณ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image