เอกชนหวั่นการเมืองไม่นิ่ง กดดันเศรษฐกิจทรุด ทำบรรยากาศไม่ดี คนไม่อยากเที่ยว

เอกชนหวั่นการเมืองไม่นิ่ง กดดันเศรษฐกิจทรุด ทำบรรยากาศไม่ดี คนไม่อยากเที่ยว

นางศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า กรณีการปรับเงื่อนไขในโครงการเที่ยวปันสุข ทั้งแพคเกจเราเที่ยวด้วยกัน และกำลังใจ เพื่อให้ตอบโจทย์และดึงดูดใจการเข้าร่วมโครงการมากขึ้น โดยเบื้องต้นมองว่า การปรับเงื่อนไขไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญมากเท่ากับว่า ประชาชนมีเงินในกระเป๋าหรือไม่ เพราะวิกฤตในขณะนี้ เป็นเรื่องกำลังซื้อที่ได้รับผลกระทบ ทำให้หากคนยังตกงาน หรือถูกลดจำนวนวันทำงานลง ทำให้รายได้หายไป สวนทางกับรายจ่ายที่ยังมีเท่าเดิม หรืออาจมีเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นปัจจับหลักที่ส่งผลกระทบกับการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว

“ปัจจัยกดดันอีกเรื่องเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่อาจกระทบกับเสถียรภาพของเงินในกระเป๋าคนในประเทศได้ เพราะหากการเมืองยังไม่มีเสถียรภาพ และการชุมนุมทางการเมืองยังมีออกมาเรื่อยๆจะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากคนมีความกังวลกับความไม่แน่นอน ก็จะไม่กล้าใช้เงินมากนัก รวมถึงอาจสร้างผลกระทบกับผู้ประกอบการ ที่หากเศรษฐกิจไม่ฟื้น จำเป็นต้องลดคนอีกหรือไม่ และหากเป็นแบบนั้น ก็จะส่งผลต่อเนื่องกับการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว” นางศุภวรรณ กล่าว

นางศุภวรรณ กล่าวว่า ประเด็นการเมืองไทยที่มีความไม่แน่นอนมากนัก จะเป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจ เพราะถือเป็นปัจจัยแวดล้อมในการพิจารณาเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาผ่านวีซ่าประเภทพิเศษ หรือเอสทวี ซึ่งแม้จะอยู่ได้ในระยะยาว แต่หากเข้ามาเริ่มต้นวางแผนพำนักอยู่ที่ 1 เดือน ต้องกักตัวแล้ว 14 วัน และหากในจำนวน 1 เดือนนี้ มีเหตุการณ์มีไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็จะเป็นความเสี่ยงที่สร้างความกังวลให้กับต่างชาติ เพราะการเดินทางระหว่างประเทศยังไม่เป็นปกติ ไม่สามารถกลับประเทศต้นทางได้ทันทีเหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 ได้

นางศุภวรรณ กล่าวว่า สำหรับการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งประชุมมีมติเห็นด้วยกับหลักการลดเวลาการกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน โดยได้เตรียมเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เพื่อพิจารณาต่อไป ขณะนี้มองว่าหากสามารถเป็นไปได้ก็ดี เพราะยิ่งกักตัวน้อยก็ยิ่งเป็นผลดีในการตัดสินใจเข้ามาของต่างชาติ แต่ภาครัฐและเอกชน จะต้องร่วมมือกันในการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่ อาทิ การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเข้ามาอย่างเข้มข้น และตรวจหลังเข้ามาซ้ำอีกครั้ง รวมถึงในระหว่างกันตัวตรวจซ้ำอีก เพื่อป้องกันการกลับมาระบาดระลอก 2 ในประเทศ โดยมองว่าหากการเปิดให้เข้ามารอบนำร่องแล้วเป็นไปได้ดี รัฐบาลก็อาจพิจารณาในการเปิดรับต่างชาติในจำนวนที่มากขึ้นได้ต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image