นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผย ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี
โดยประเด็นที่คณะกรรมการฯ ให้ความสำคัญในการตัดสินนโยบาย กล่าวคือ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2558 ทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่ทำได้ดีต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยว ต่างประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้นจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเป็นสาคัญ และการบริโภคภาคเอกชนที่มีทิศทางปรับดีขึ้น ส่วนหนึ่งจากผลชั่วคราวของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงก่อนปีใหม่ และการเร่งซื้อรถยนต์ก่อนการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวสูง
ด้านแรงกดดันเงินเฟ้อปรับลดลงต่อเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลง เร็วและมากกว่าคาดการณ์ ทำให้ความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อโน้มไปด้านต่ำเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ที่ติดลบในปัจจุบันจะทยอยปรับสูงขึ้น และมีแนวโน้มจะกลับเป็นบวกในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ขณะที่ ความเสี่ยงของการเกิดภาวะเงินฝืดมีจำกัด เนื่องจากอุปสงค์ยังขยายตัวและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก ซึ่งสะท้อนว่าราคาสินค้านอกกลุ่มพลังงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับสูงขึ้น สอดคล้องกับการคาดการณ์ เงินเฟ้อในระยะปานกลางของสาธารณชน
คณะกรรมการฯประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ยังคงขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน ที่ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 3.5% โดยอุปสงค์ในประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ขณะที่มีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกสูงขึ้น ทั้งด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลก ราคาสินค้า โภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯเห็นว่านโยบายการเงินในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ผ่อนปรน และควรรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy space) รวมทั้งยังคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงิน จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสมเพื่อสนับสนุน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ