‘ไลท์ติ้งฯ’ ปรับโครงสร้างกส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ ย้ำแผนขยายตลาดแสงสว่างสู่ความสมาร์ท รับยุคไอโอที

‘ไลท์ติ้งฯ’ ปรับโครงสร้างกส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ ย้ำแผนขยายตลาดแสงสว่างสู่ความสมาร์ท รับยุคไอโอที

นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าเนื่องจากนายยงค์ ทรัพย์ทวยชน และ นายปกรณ์ บริมาสพร ผู้ร่วมก่อตั้ง L&E Group เห็นว่าพวกตนมีอายุมากแล้ว จึงต้องการเห็นคนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการสานต่อเป้าหมายที่จะทำให้ L&E Group เป็นผู้นำธุรกิจด้านไฟฟ้าแสงสว่างในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในเวทีระดับโลกต่อไป จึงได้ลาออกจากการเป็นกรรมการ และได้สนับสนุนให้ นายนัทลี ทรัพย์ทวยชน และนายเอกลักษณ์ บริมาสพร เป็นกรรมการบริษัทแทน คณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งให้ตนเอง นายอนันต์ กิตติวิทยากุล เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางนภาพร วิมลอนุพงษ์ เป็นกรรมการผู้จัดการเพื่อช่วยกันนำพาบริษัทไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยที่นายยงค์ และคุณปกรณ์ จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้การบริหารงานในช่วงเปลี่ยนผ่านดำเนินไปได้ด้วยความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะสนับสนุนให้บริษัทขยายธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคเศรษฐกิจดิจิตอลต่อไป

นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า บริษัทฯ จะยังคงโมเดลธุรกิจว่า “Total Lighting Solution Provider” เพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับบริการที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิตอลที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับไอโอที ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาจนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นแนวหน้าของประเทศ มีผลงานในด้านนี้จำนวนมาก อาทิ สมาร์ทซิตี้ที่อำเภอเกาะสมุย โคมไฟถนนอัจฉริยะที่วังจันทน์ วัลเลย์ จังหวัดระยอง และโคมไฟฟ้าโซล่าร์อัจฉริยะรอบสนามบินจำนวน 22 แห่ง ของกรมท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไฟปลูกพืชที่บริษัทฯ ได้พัฒนาขึ้นมาหลายปีแล้วกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเราได้มีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีน ส่งผลให้เราได้ส่งสินค้าไปขายให้แก่ลูกค้าหลายรายในประเทศอเมริกาผ่านบริษัทพันธมิตร และปัจจุบันยังมีบริษัทอื่นจากประเทศอเมริกาติดต่อให้บริษัทผลิตสินค้าให้โดยตรงซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี เพื่อสอดรับแนวโน้มดังกล่าวที่เน้นการผลิตสินค้าครั้งละจำนวนมาก เราจึงได้ขยายเพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “Efficient  Value Chain  Management” ซึ่งจะเน้นการลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต

“บริษัทฯ ให้ความสําคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป  อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่กระทบต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่อย่างใด และบริษัทฯยังคงคำนึงถึงประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลักพร้อมทั้งการขยายโอกาสทางการตลาดไปยังนานาประเทศ เชื่อว่าจะสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญนายอนันต์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image