63 ปี “เสี่ยปั้น” อาบน้ำตก “สะปัน” รักษา “หนุ่ม”-ชำระล้างคุณไสย

สองสามปีนี้มานี้ “บัณฑูร ล่ำซำ” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย มักเชิญนักข่าวไปเยี่ยมเยียนที่บ้านเจ้าสัว เลขที่ 369 ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ.น่าน และเปิดบ้านให้ชมปีละครั้ง

แต่ปีนี้พิเศษกว่าปีก่อนๆ ตรงที่ได้ร่วมงานเลี้ยงมื้อค่ำในวันที่ 14 มกราคม ก่อนวันครบรอบอายุ 63 ปีของเจ้าของบ้านที่ตรงกับวันที่ 15 มกราคม ทำให้ได้เห็นภาพในอีกมิติหนึ่งของเสี่ยปั้น ซึ่งหลายคนคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็น

ว่าไปแล้วไม่บ่อยนักที่จะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของซีอีโอแบงก์กสิกรไทยรายนี้ในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ผู้คนเห็นภาพเขาเป็นคนเคร่งขรึม ดุ น่าเกรงขาม เจ้าระเบียบ

แต่ในงานเลี้ยงค่ำคืนวันนั้นเสี่ยปั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

Advertisement

โดยเฉพาะในช่วงโชว์ร้องเพลงเดี่ยวบนเวทีในเพลง “ครวญถึงเจ้า” โดยมีอดีตอีเกิร์ล 3 อนงค์หน้าแฉล้มแช่มช้อยยืนเป็นฉากหลัง บางช่วงเสี่ยปั้นก็จับมือสามสาวให้มายืนอยู่ด้วยกันเพื่อประกอบตามเนื้อเพลง

พอร้องเสร็จสักพักแขกทั้งหลายต่างร่วมร้องเพลงอวยพร “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ให้กับเจ้าของบ้าน

หลังจากนั้นคุณปั้นก็เดินมาพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับนักข่าวในบรรยากาศสบายๆ ขณะที่หลายคนทั้งไกลและใกล้เห็นชัดว่าเสี่ยปั้นหน้าตาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดขนาบข้างด้วยอดีตสาวอีเกิร์ล

ดูยังไงๆ แทบไม่น่าเชื่อว่าซีอีโอแบงก์รายนี้จะอายุเต็ม 63 ปีแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะดูแลสุขภาพและออกกำลังกายเป็นประจำ

ภาพที่เห็นฟ้องว่าอดีตอีเกิร์ลสามนางนี้สนิทสนมกับเสี่ยปั้นอย่างมาก เพราะบางคนถึงกับเรียกพ่อ ขณะที่บางคนเรียกเจ้าป้อ นัยว่าเรียกตามตัวละครในจินตนิยายขายดีของเสี่ยปั้นเรื่อง “สิเนหามนตาแห่งลานนา” นั่นคือ “พระญาผาสุริยา” ตัวเอกของเรื่อง

ซึ่งถ้าใครได้อ่านเรื่องนี้แล้วนอกจากจะชื่นชมความรู้ความสามารถของคนเขียนอย่างคุณบัณฑูรแล้ว ส่วนใหญ่ต่างจดจำได้ว่า “พระญาผาสุริยา” เป็นเจ้าเมืองที่เก่งกาจ ที่สำคัญมีสนมเกือบสิบ

ย้อนกลับไปช่วงงานเลี้ยงอาหารค่ำยังไม่เริ่ม ก่อนที่คุณปั้นจะพานักข่าวไปดูเรือนแม่มะไฟที่สร้างขึ้นอยู่ติดกับคฤหาสน์หลังใหญ่ 3 ชั้นตามคำแนะนำของซินแสเพื่อให้สนมเอกในอดีตชาติ “แม่มะไฟ” ที่ถูกถ่วงน้ำ เข้ามาพักอาศัยจะได้ไม่มารบกวนบนเรือนหลังใหญ่ เสี่ยปั้นลั่นว่า

“บ้านเจ้าสัวหลังนี้เทวดาให้มา ทุกอย่างลงตัว ข้างหลังเป็นเนินเขา ทำให้ข้างหลังแน่น บ้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม ระยะยาวเมื่อผมไม่อยู่แล้ว เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่ใช่ให้ลูกเอาไป แต่จะให้เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชีวิตของผม ข้าวของต่างๆ มีนิทรรศการ มุมที่เขียนนิยาย เอกสารต่างๆ ต้นฉบับที่เป็นลายมือของผมเอง คนจะได้เห็นว่าผมไม่ได้จ้างใครเขียน”

นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เจ้าของบ้านหลังนี้ประกาศต่อหน้าสาธารณะอย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้ใกล้ชิดให้ข้อมูลเสริมว่าเจ้าของบ้านตระเตรียมเรื่องนี้ไว้สักพักแล้ว โดยเก็บสะสมสิ่งของมีค่าที่ควรเก็บรักษาและน่าจดจำไว้เป็นหมวดหมู่ โดยในชั้นหนึ่งจะเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับการเขียนนิยายเรื่อง “สิเนหามนตาแห่งลานนา” และน่าจะมีต้นฉบับผลงานอีกเล่มที่จะออกมาในอนาคต นั่นคือ เรื่องการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำน่าน ซึ่งเสี่ยปั้นเคยบอกว่าจะต้องเขียนอย่างแน่นอนเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาได้เรียนรู้

ชั้นที่สองเป็นห้องที่จะนำชุดงิ้วที่เคยแสดงต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองครบ 60 พรรษที่จุฬาฯ มาโชว์

รวมทั้งชุดที่ใช้ในการรำทวนถวายสมเด็จพระเทพฯ ครบ 60 พรรษา ที่ข่วงเมือง จ.น่าน

นักข่าวคนหนึ่งถามว่าบ้านเจ้าสัวหลังนี้ถือเป็นบ้านพักหลังเกษียณใช่ไหม เสี่ยปั้นตอบทันทีว่า “เกิดมาไม่มีวันเกษียณ เพราะต้องทำงานให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ธนาคารกสิกรไทยอย่างเดียว บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านพักไว้ทำงาน”

ทั้งนี้ ในการเปิดบ้านให้นักข่าวเยี่ยมชมนั้น จะให้ถ่ายรูปทำข่าวเฉพาะบริเวณบ้านด้านล่าง ใต้ถุนและเรือนแม่มะไฟเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปชั้นที่หนึ่ง-สอง-สาม แต่อย่างใด

ในส่วนของการเป็นบ้านพักไว้ทำงานนั้น เป็นที่รับรู้ว่านับตั้งแต่ซีอีโอแบงก์กสิกรไทยผู้นี้ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาเป็นประชาชนคนหนึ่งของจังหวัดน่านตั้งแต่ปี 2553 เขาก็ปวารณาตัวทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเมืองนี้อย่างทุ่มสุดตัว โดยเฉพาะการรับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนทำให้ป่าเขาลำเนาไพรในเมืองน่านอุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต ให้ยังคงสภาพเป็นป่าต้นน้ำ ไม่ใช่กลายเป็นป่าหัวโล้นเหมือนเช่นทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจและแรงทรัพย์อย่างเต็มที่ แต่เจ้าตัวก็รู้ว่าเป็นงานยากหนักหนาสาหัสและไม่คิดว่าจะสำเร็จได้โดยง่ายๆ เพราะถือเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องระดมความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีชาวบ้านก็ยังบุกรุกทำลายป่าอยู่ตลอดเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากไม่มีที่ดินทำมาหากินและไม่รู้จะไปปลูกพืชอะไร

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้ป่าเมืองน่านอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นต้นน้ำที่ส่งต่อไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา คุณปั้นจึงได้เป็นหัวหน้าทัวร์นำคณะผู้สื่อข่าวทั้งหลายไปสำรวจป่าต้นน้ำที่ ต.ดงพญา อ.บ่อเกลือ ซึ่งเป้าหมายอยู่ที่น้ำตกสะปันอันเป็นน้ำตกที่สวยงามในอุทยานแห่งชาติขุนน่าน ถือเป็นป่าต้นน้ำที่ยังคงหลงเหลืออยู่

ทางคุณปั้นจึงอยากให้สื่อมวลชนได้นำไปเผยแพร่เพื่อให้ผู้คนทั้งประเทศตระหนักถึงการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำ เพราะไม่ใช่แค่คนพื้นราบจะได้รับผลกระทบเท่านั้น ทุกคนในประเทศก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

นายธนาคารชื่อดังคนนี้ ซึ่งปัจจุบันสวมหมวกนักอนุรักษ์อีกใบหนึ่ง และคณะนักข่าวใช้เวลาเดินเท้าประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงน้ำตกสะปันชั้นที่ 3 เพราะระยะทางไม่ไกลนัก และบางช่วงมีทางเดินคอนกรีตและมีสะพานให้เดิน มีบางช่วงเท่านั้นที่เป็นทางดินแดงสูงชันต้องระมัดระวัง

หลังจากนักข่าวสัมภาษณ์คุณปั้นและถ่ายรูปกันแล้วสักพัก ทางประชาสัมพันธ์ของแบงก์กสิกรไทยแจ้งให้นักข่าวเดินทางกลับเพื่อให้ทันกินข้าวกลางวัน ช่วงที่นักข่าวกลับกันนั้นคุณปั้นก็ได้ลงอาบน้ำที่น้ำตกสะปันชั้นสามแห่งนี้

ทำให้นักข่าวที่ไปไม่มีใครได้เก็บภาพเสี่ยปั้นเล่นน้ำได้เลย

ความจริงนักข่าวส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าซีอีโอรายนี้ลงเล่นน้ำตก แต่เรื่องมาเปิดเผยเพราะเจ้าตัวนำภาพลงเล่นในน้ำตกสะปันมาเปิดให้ดูเองช่วงแถลงข่าวเรื่อง เศรษฐกิจการเงินการธนาคารกสิกรไทย ที่โรงแรมเทวราชตอนบ่ายแก่ๆ ก่อนที่เคลื่อนขบวนไปที่บ้านเจ้าสัวในช่วงเย็น โดยนำภาพนี้มาฉายให้ดูก่อนจะพูดประเด็นอื่นๆ

พร้อมอธิบายว่า “ในอดีตเจ้าเมืองน่านจะอาบน้ำที่น้ำตกแห่งนี้ เพราะเชื่อว่าแร่ธาตุอันบริสุทธิ์ที่อยู่ในต้นแม่น้ำจะช่วยชำระล้างคุณไสยมนต์ดำออกไป และทำให้หนุ่มอยู่เสมอ น้ำตกสะปันชั้นที่สาม ต.ดงพญา อ.บ่อเกลือ จ.น่าน คำว่าดงพญา แปลว่าป่าใหญ่ ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เป็นต้นแม่น้ำ เป็น 40% ของมวลน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา นี่รูปอาบน้ำเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว แต่ว่าเมื่อเช้านี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ลง อันนี้ภาพเมื่อเช้านี้ น้ำจะน้อยลงไปหน่อย แต่ตัวน้ำตกยังมีสองแนวลงมา น้ำเย็นมาก เย็นกว่าเดิมมาก เท่ากับน้ำใส่น้ำแข็ง มีอาจารย์บอกว่าต้องลงใกล้ๆ วันเกิดจะได้ไม่ยอมแก่ อันนี้ให้ดูหลายรูป มีมาดเซ็กซี่ มีมาดใกล้จะตายห่า (หัวเราะ) ตอนจบรอดกลับมา”

หลังจบการแถลงข่าว นักข่าวหลายรายพยายามขอภาพอาบน้ำในน้ำตกสะปันของคุณปั้น แต่ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของแบงก์บอกว่า ไม่สามารถให้ได้เพราะเป็นภาพส่วนตัว ยกเว้นนักข่าวช่างภาพจะถ่ายภาพไว้เองตอนที่ฉายให้ดูให้ห้อง

หากใครติดตามเรื่องราวของเสี่ยปั้นมาตลอดย่อมจะไม่แปลกใจกับการเล่นน้ำตกดังกล่าวก่อนวันครบรอบวันเกิด เพราะเจ้าตัวก็ได้เอ่ยที่มาที่ไปให้ฟังแล้ว ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่าซีอีโอแบงก์ท่านนี้เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมาก รวมถึงเรื่องราวในอดีตชาติ และถ้าเรื่องไหนซินแสหรืออาจารย์ที่เคารพนับถือแนะนำมาเขาจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ธุรกิจมั่งคั่งยั่งยืนประสบความสำเร็จ รวมทั้งชีวิตส่วนตัวด้วย โดยเจ้าตัวเคยให้เหตุผลในเรื่องความเชื่อดังกล่าวว่า

“ผมเชื่อว่ามนุษย์ต้องทำกรรมดีถึงจะออกมาดี แต่ระหว่างทางมีเทวดาช่วยก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง เทวดาถึงจะช่วย”

ประเด็นต่อมาที่คุณปั้นพูดส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการรักษาป่าน่าน ที่เจ้าตัวระบุว่า โจทย์ของการรักษาป่าน่าน จริงๆ ไม่ใช่รักษา แต่ต้องตามคืนมา เป็นภาพสะท้อนโจทย์ของการจัดการเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมด้วย เพราะปัญหาที่เห็นอยู่ การสูญเสีย 25% ของป่าน่าน เป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของการจัดการส่วนหนึ่งของการทำมาหากินของประชาชน ซึ่งชาวบ้านไม่มีทางเลือกในการทำมาหากิน หลายอำเภอหลายตำบลในจังหวัดน่านทั้งหมด 100% เป็นป่าสงวนฯ ทั้งที่อยู่กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด ก่อนประกาศ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ปี 2507 ด้วยซ้ำไป

“ทุกวันนี้ป่าน่านยังถูกตัดอยู่ จากพื้นที่ป่า 100% มาอยู่ที่ 25% ส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน10 ที่ผ่านมา 10 ปีที่จังหวัดน่านและป่าต้นจังหวัดน่านถูกละเลยโดยสิ้นเชิงของฝ่ายบริหารจัดการของประเทศไทย ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตามไม่เคยพูดถึงการรักษาป่าต้นน้ำ เรื่องป่าต้นน้ำเมืองน่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจคือ ชาวไร่ชาวบ้านไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ก็เหมือนกับภาพสะท้อนโจทย์ใหญ่ของประเทศ”

“รัฐบาลปัจจุบันที่จับผลัดจับผลูเข้ามาเขาต้องแก้ปัญหาที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ สอง ไม่ได้เตรียมพร้อมเท่าไหร่นักที่จะมาเจอ ทุกอย่างก็มาแตกโพละในรัฐบาลนี้ อย่างการใช้แรงงานประมงที่ผิดกติกาสากล ซึ่งจริงๆ แล้วผิดกันมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งจะมาค้นพบ คือทุกคนสนุกสนาน คนที่ไม่สนุกกลุ่มเดียวคือ คนที่ใช้แรงงานแบบทาส แต่ตอนนี้ฝีมันแตกแล้ว เป็นความละเลยของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ไม่ได้บอกว่าเฉพาะเจาะจงว่ารัฐบาลไหน ซึ่งกฎกติกาและมาตรฐานสากลพวกนี้มีอยู่แล้ว เป็นบรรทัดฐานที่เห็นกันอยู่แล้ว แต่ไม่ทำ ทำไมถึงไม่ทำ เพราะสนุกกับการมีอำนาจก็ไม่ต้องทำ ละเลยก็สนุกถลุงกันไปซ้ายขวา รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาก็เจอปัญหา ของเก่าก็ต้องแก้ ของใหม่ก็คือความถดถอยของระบบเศรษฐกิจที่เจอกันทั้งโลก”

จากประเด็นรักษาป่าต้นน้ำน่านร่ายยาวมาโยงถึงการบริหารจัดการและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ใครฟังแล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเสี่ยปั้นดูเหมือนจะนิยมชมชอบและเห็นอกเห็นใจรัฐบาลชุดนี้เป็นพิเศษ มองในแง่บวกตลอด

สมแล้วที่ได้รับเลือกให้นั่งเป็นซูเปอร์บอร์ดรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image