คิด เห็น share : กลยุทธ์การลงทุน ปี 2564
สําหรับคอลัมน์ “คิด เห็น แชร์” บทความสุดท้ายของปี 2563 ผมจะขอหยิบยก บทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนปี 2564 ของฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ไต้หวัน) มาสรุปในบทควานี้ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาตัดสินใจลงทุนในปี 2564 ซึ่งในภาพรวมฝ่ายวิจัยฯ และผมมีมุมมองที่คล้ายกันคือ ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย
เริ่มต้นที่ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินแม้ว่าเราน่าจะเห็นตัวเลขอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละประเทศทั่วโลกโดยเฉลี่ยแล้วพลิกเป็นบวกเมื่อเทียบกับในปี 2563 แต่หากพิจารณาในรายประเทศจะพบว่า มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่มูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2564 จะกลับสู่ระดับเดียวกับในปี 2562 (ก่อนวิกฤตโควิด-19) โดยกลุ่มประเทศอันดับต้นๆ ที่ประเมินว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2564 จะเติบโตได้ เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้แก่ จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ขณะที่กลุ่มประเทศที่คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2564 แม้ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับปี 2563 แต่ยังลดลงเมื่อเทียบกับในปี 2562 ได้แก่ สเปน อิตาลี เม็กซิโก ฝรั่งเศส และแอฟริกาใต้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียจะโดดเด่นกว่า กลุ่มประเทศในยุโรปและแอฟริกา
ถัดมา ที่เรื่องของการลงทุน ผลจากนโยบายการเงินของสหรัฐ ที่คาดว่าจะยังคงมุ่งเน้นมาตรการ QE (มาตรการอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ) อย่างต่อเนื่องจนกว่าตลาดแรงงานในสหรัฐจะฟื้นตัว ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมมาที่ตลาดปริวัตรเงินตราทั่วโลก คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง (ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้นั่นเอง) ซึ่งการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนี่เอง คาดจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก และรวมถึงเม็ดเงิน Fund flow ที่จะไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ นอกจากเรื่องของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็คือ การฟื้นตัวของภาคการลงทุนทั่วโลก หลังจากที่ภาวะการลงทุนชะลอตัวลงไปในปี 2563 จากวิกฤตโควิด-19 และการฟื้นตัวของภาคการผลิต ซึ่งในช่วงต้นของการฟื้นตัวดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าหุ้นในกลุ่มที่เชื่อมโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มสถาบันการเงิน เป็นต้น มีโอกาสที่จะเป็นเป้าหมายของการลงทุนในปี 2564
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มประเภทที่เรียกว่า Value stock หรือหุ้นที่ยังไม่แพง โดยปกติแล้วจะพิจารณาจากอัตราส่วน PE หรือ PBV เป็นต้น มีโอกาสที่จะโดดเด่นกว่าหุ้นในกลุ่ม Growth stock (เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี) และหุ้นกลุ่ม Defensive stock (เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค) เนื่องจากคาดว่ามีโอกาสที่จะเกิดการ “เปลี่ยนกลุ่มเล่น” จากหุ้นในกลุ่มที่เริ่มแพงมายังหุ้นในกลุ่มที่ยังไม่แพง ซึ่งหากพิจารณาลงลึกในรายละเอียดเพิ่มเติม จะเห็นว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหุ้นในกลุ่มประเภทที่เชื่อมโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจมากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว
โดยสรุปแล้ว เป้าหมายของการลงทุนในปี 2564 อาจสรุปได้ว่า 1.เน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย (รวมถึงประเทศไทยด้วย) 2.หุ้นกลุ่มที่เชื่อมโยงวัฏจักรเศรษฐกิจ และสุดท้ายคือ 3.หุ้นกลุ่มที่ยังไม่แพงเกินไป จึงอาจสรุปได้ว่า มีโอกาสที่เม็ดเงิน Fund flow จะยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในปี 2564 และอาจเน้นไปที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน (อาทิ PTT, TOP เป็นต้น) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมฯ (อาทิ WHA, AMATA เป็นต้น) กลุ่มสถาบันการเงิน (BBL, KBANK) และกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าน่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว อาทิ AOT, MINT, CENTEL เป็นต้น
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินเป้าหมายดัชนี SET index สำหรับไตรมาสแรกของปี 2564 ไว้ที่ 1,590 จุด (อิงประมาณการ EPS 76.2 บาท/หุ้น และเป้าหมาย PE 20.9 เท่า)
และสุดท้ายผมประเมินว่ามีโอกาสที่จะเกิด ความผิดปกติของตลาด (Market anomaly) 2 อย่างในช่วงปลายปีนี้ จนถึงเดือนมกราคม 2564 ได้แก่ “Santa Claus rally” (ตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีต่อเนื่องจนถึง 2 วันทำการแรกของเดือนมกราคม) และ “January Effect” (ตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้นในเดือนมกราคม) เนื่องจากภาวะการลงทุนที่เริ่มสดใสขึ้นตามที่ฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ไต้หวัน) ประเมินไว้ข้างต้นนั้นเอง
เนื่องจากบทความฉบับนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายของปี 2563 ของผม ดังนั้นผมจึงขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า และขออวยพรให้ผู้อ่านที่ติดตามอ่านบทความของผมใน นสพ.มติชน ตลอดมา ประสบความสำเร็จในการทำงาน การลงทุน ตามที่ปรารถนา ในปี 2564 ทุกท่าน
สุโชติ ถิรวรรณรัตน์
บล. เคจีไอ (ประเทศไทย)