นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มอบนโยบายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ปรับกลยุทธ์การทำงาน ปี 2564 รับมือการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดใหม่ โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีออนไลน์ สำหรับกิจกรรมฝึกอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ เพื่อติดอาวุธให้กับกลุ่มเกษตรกร เอสเอ็มอี สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน พร้อมใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถจับคู่ธุรกิจ เพิ่มยอดขาย และบุกตลาดต่างประเทศได้จริง
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ช่วงปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ สภาเกษตรกรแห่งชาติ วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มสหกรณ์ อย่างต่อเนื่อง โดยจัดฝึกอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ กฎระเบียบและมาตรการทางการค้า รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดส่งออก และการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มยอดขายและโอกาสทางการตลาดให้กับเกษตรกร และ เอสเอ็มอีได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดไทยมีเอฟทีเอด้วย ดังนั้น ปีนี้จึงเน้นย้ำให้กรมเพิ่มการนำเทคโนโลยีออนไลน์มาเป็นตัวช่วยในการจัดกิจกรรม เพื่อให้เกษตรกร เอสเอ็มอี สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน สามารถเจาะตลาดต่างประเทศและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น แม้ในช่วงวิกฤติโควิด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า โครงการสำคัญที่กรมจะดำเนินการในปี 2564 และจะเพิ่มการนำเทคโนโลยีออนไลน์มาใช้ในการจับคู่ธุรกิจ ตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยกระทรรวงพาณิชย์ ได้แก่ โครงจัดทัพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วย FTA ซึ่งเน้นขยายตลาดส่งออกไปอาเซียนและจีน โครงการจับมือผู้ประกอบการใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ เพิ่มการส่งออกต่างประเทศด้วย เอฟทีเอ ร่วมกับ ศอ.บต. โครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรไทย ให้สามารถเพิ่มการส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ โครงการพัฒนาความพร้อมทางการค้าสหกรณ์ไทยสู่โลกการค้าเสรี และโครงการยกระดับผู้ประกอบการไทยผ่านโลกการค้าเสรี ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นางอรมน กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีความตกลง เอฟทีเอ รวม 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยปี 2562 การค้าของไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอมีมูลค่ารวม 302,991 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 ใน 3 หรือ สัดส่วน 63% ของมูลค่าการค้าไทยกับทั่วโลก โดยส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่า 150,933 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้ามูลค่า 152,639 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับในช่วง 11 เดือนแรกปี2563 การค้าของไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอมีมูลค่า 250,721.76 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกมูลค่า 128,221.19 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้ามูลค่า 122,500.57 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งประเทศคู่เอฟทีเอ ที่เป็นคู่ค้าสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน จีน และญี่ปุ่น