น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในปี 2564 สนค. จะเดินหน้างานสำคัญ 3 ด้านที่ได้วางรากฐานไว้แล้ว คือ งานยุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการ พัฒนาเศรษฐกิจใหม่ แต่จะกำหนดแผนงานให้ตอบโจทย์นโยบาย 14 ประการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ให้ละเอียดขึ้น และปรับแผนงานให้รองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อ เศรษฐกิจการค้าไทยในอนาคต
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า งานสำคัญส่วนแรก คือ การกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายการค้า เพื่อรองรับความ เปลี่ยนแปลงหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าไทย เช่น สงครามการค้า โรคโควิด-19 เทคโนโลยีสมัยใหม่ และ ประเด็นด้านสังคมสิ่งแวดล้อมและประชากร โดย สนค. ได้ศึกษาประเด็นเหล่านี้มาเป็นระยะ และในปีนี้จะรวบรวมงาน ศึกษาทั้งหมดจัดทำยุทธศาสตร์การค้าฉบับแรกของไทยสำหรับปี 2564 – 68 เมื่อมีร่างฉบับแรกแล้ว จะหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ให้มากที่สุด โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน
“ในยุทธศาสตร์จะมีการทำรายละเอียดเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น การพัฒนาภาคบริการ การเจรจา ความตกลงการค้า การจัดทำแผนงานที่หน่วยงานต่างๆต้องดำเนินการต่อไป เป็นต้น จะเริ่มกระบวนการหารือในปลายเดือนมกราคมนี้ และรายงานต่อคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ. พณ.) ต่อไป
สำหรับงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในของ ไทยนั้ น สนค. ได้เริ่มวางฐานด้านการสร้างระบบข้อมูลการค้าขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้บริหาร เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ตลอดจนนักวิเคราะห์ด้านต่าง ๆ ใช้เป็นเครื่องมือในการก าหนดนโยบายการค้าที่เหมาะสม ผ่านแพลทฟอร์ม www.คิดค้า.com ซึ่งปีนี้จะเร่งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภูมิภาคต่างจังหวัดเข้ามาส่วนกลางและ เชื่อมต่อกับข้อมูลการค้าระหว่างประเทศนอกจากนี้ ยังมีระบบข้อมูล Big Data ภาคเกษตร ภายใต้นโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” จะประชุมนัดแรกวันที่ 19 มกราคม
นอกจากงานด้านข้อมูลแล้ว สนค. จะเดินหน้า หารือกับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ผู้ประกอบการ SME ในต่างจังหวัดเพื่อก าหนดนโยบายสนับสนุน การพัฒนาวิสาหกิจและหาต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เหมาะสมกับการค้าไทย อีกทั้งจะขยายความสัมพันธ์กับ ประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMVT เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการไทยต่อไป ในส่วนงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่) หรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยพัฒนาเกษตรกร และผู้ประกอบการนั้น โครงการสำคัญของ สนค. ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 คือการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับโดย ใช้บล็อกเชน ภายใต้ชื่อ TraceThai.com สินค้านำร่องตัวแรก คือ ข้าวอินทรีย์ โดยปีนี้จะขยายสินค้า นำร่องให้รองรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ ผักผลไม้อินทรีย์ สมุนไพรอินทรีย์
โดย สนค. จะร่วมกับธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่เป็นพาร์ทเนอร์เพิ่มจำนวนเกษตรกรรายย่อย สหกรณ์ และวิสาหกิจกลุ่มต่างๆ เข้ามาใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับมากขึ้น และเชื่อมโยงกับช่องทางการขายเพื่อให้ตรา TraceThai.com และระบบตรวจสอบย้อนกลับเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้เป็นเครื่องมือทาง การตลาดในการขายทั้งในประเทศและส่งออก
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า นอกจากนี้ สนค.จะเพิ่มการวิเคราะห์ศึกษาและทำฐานข้อมูลเพิ่มเพื่อสนับสนุนงานที่เป็น รายสาขา คือ นโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” ที่เพิ่มการผลิตและการส่งออกอาหารฮาลาล อาหารเพื่อสุขภาพ และอาหาร เทรนด์ใหม่ๆ ให้มากขึ้น และนโยบายการพัฒนาภาคบริการ โดยเฉพาะบริการด้านค้าส่งค้าปลีก โลจิสติกส์ บริการด้าน สุขภาพ ดิจิทัลคอนเทนต์ ร้านอาหาร และบริการด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ที่กระทรวงพาณิชย์ก าหนดเป็นบริการเป้าหมายในการพัฒนา ต่อไปด้วย
มั่นใจว่า แนวนโยบายที่กระทรวงพาณิชย์วางไว้และ สนค. มีบทบาทสนับสนุนในเชิงยุทธศาสตร์และวิชาการนั้น จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าไทยต่อไปในโลกยุคหลัง ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างแน่นอน