นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้ง 2 ครั้งในประเทศไทย ทำให้ธุรกิจต่างได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจาก กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวจากการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคฯ ประกอบกับประชาชนมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตหลายด้านทำให้การใช้จ่ายเกิดการชะลอตัว และมีความระมัดระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบฯ และกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศโดยรวม ทำให้ธุรกิจกลับมาประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนอีกครั้ง ซึ่งในปี 2563 ผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่ต่างหันมาประกอบธุรกิจที่สอดรับกับการใช้ชีวิตยุคนิวนอร์มอลมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย ธุรกิจทางการแพทย์ และธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ
สำหรับปี 2564 การดำเนินชีวิตของผู้คนและการประกอบธุรกิจได้ก้าวไปอีกขั้นจากวิถีปกติใหม่ เป็นวิถีปกติถัดไป กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ทำการวิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ และถือว่าเป็นธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตามองในปี 2564 จำนวน 12 ธุรกิจ โดยได้ทำการวิเคราะห์จากข้อมูลทางธุรกิจของกรมฯ ตั้งแต่สถิติจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ จำนวนธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ สถานที่ตั้ง งบการเงิน ผลการประกอบธุรกิจ และข้อมูลปัจจัยทางธุรกิจและเศรษฐกิจอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ ร่วมกับความสอดคล้องจากข้อมูลและผลการศึกษาจากหน่วยงานวิจัยด้านธุรกิจอื่นๆ เช่น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ฯลฯ เป็นต้น
โดย 12 ธุรกิจดาวเด่นปี 2564 ประกอบด้วย 1. ธุรกิจการค้าออนไลน์ 2. ธุรกิจแพลตฟอร์ม สำหรับการเป็นตลาดกลางออนไลน์ 3.ธุรกิจสื่อโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และ ออฟไลน์ 4. ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของ 5. ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ 6. ธุรกิจออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ 7.ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม 8. ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ 9.ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา ธุรกิจขายส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์ 10. ธุรกิจพัฒนาโปรแกรม Software และ Application 11.ธุรกิจการเงิน Fintech และ e-Payment 12.ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น ร้านสะดวกซัก เครื่องเติมเงิน เครื่องเติมน้ำ
ทั้งนี้ 12 ธุรกิจ สามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มธุรกิจได้ ดังนี้ 1. กลุ่มธุรกิจด้านการค้าและการตลาดออนไลน์ได้แก่ ‘ธุรกิจการค้าออนไลน์ ธุรกิจแพลตฟอร์มสำหรับการเป็นตลาดกลางออนไลน์ และ ธุรกิจสื่อโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ โดยกลุ่มนี้ มีการเติบโตที่สอดคล้อง และเกื้อหนุนกันกับพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนในปัจจุบันที่มีการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากช่วงก่อนหน้านี้และช่วงที่เกิดมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนจากจำนวนจัดตั้งธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซตั้งใหม่จาก 310 รายปี 2561 มาเป็น 798 ราย ปี 2563
ถือเป็นการสร้างโอกาสและความท้าทายให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
2.กลุ่มธุรกิจด้านขนส่ง โลจิสติกส์ และบรรจุภัณฑ์ เช่น ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของ ธุรกิจขนส่ง โลจิสติกส์ และ ธุรกิจออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลดีจากพฤติกรรมการบริโภคในการซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ และการเติบโตของกลุ่มธุรกิจด้านการค้าและการตลาดออนไลน์ สังเกตจากแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น เช่น ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของ มีรายได้ปี 2562 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงร้อยละ 57 และธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ มีกำไรปี 2562 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงร้อยละ 116
3. กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ สุขอนามัย และการแพทย์ ได้แก่ ธุรกิจบริการทางแพทย์และความงาม ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ และ ธุรกิจเวชภัณฑ์ยาและขายสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์ เป็นกลุ่มธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลดีจากพฤติกรรมของคนในสังคมที่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพและการแพทย์ รวมทั้ง ความระแวดระวังจากการแพร่ระบาดของโรคฯ ที่เกิดขึ้น สะท้อนจากจำนวนจัดตั้งใหม่ เช่น ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ จัดตั้งธุรกิจใหม่ จาก 68 ราย ในปี 2561 เป็นกว่า 114 รายปี 2563 และ ธุรกิจเวชภัณฑ์ยาและขายสินค้าทางเภสัชภัณฑ์ และทางการแพทย์ จัดตั้งธุรกิจใหม่ จาก 945 รายในปี 2561 มาเป็นกว่า 1,158 ราย ในปี 2563
4. กลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาโปรแกรม Software และ Application ธุรกิจการเงิน Fintech และ e-Payment ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เครื่องซักผ้า เครื่องเติมเงิน และเครื่องเติมน้ำ จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ตอบสนองต่อการบริโภคของคนในสังคม เพื่ออำนวยความสะดวกและพัฒนาการให้บริการต่างๆ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สังเกตจากแนวโน้มผลประกอบการ เช่น ธุรกิจการเงิน Fintech และ e-Payment มีกำไรปี 2562 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงร้อยละ 324 และ ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เครื่องซักผ้า เครื่องเติมเงิน และเครื่องเติมน้ำ มีกำไรปี 2562 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงร้อยละ 94
นายวีรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ธุรกิจดาวเด่น 12 ธุรกิจ มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.2 ล้านล้านบาท และมีธุรกิจคงอยู่ 65,738 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 812,213.46 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจการค้าออนไลน์ 2,487 ราย ทุนจดทะเบียน 29,243.10 ล้านบาท ธุรกิจแพลตฟอร์มสำหรับการเป็นตลาดกลางออนไลน์ 739 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 6,259.39 ล้านบาท ธุรกิจสื่อโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และ ออฟไลน์ 9,877 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 47,323.49 ล้านบาท ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของ 797 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 3,651.61 ล้านบาท ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ 28,346 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 362,115.54 ล้านบาท ธุรกิจออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ 1,846 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 51,502.69 ล้านบาท
ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม 4,380 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 25,510.57 ล้านบาท ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ 809 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 11,308.12 ล้านบาท ธุรกิจเวชภัณฑ์ยาและธุรกิจขายส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์ 10,001 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 76,628.46 ล้านบาท ธุรกิจพัฒนาโปรแกรม Software และ Application 5,891 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 189,387.10 ล้านบาท ธุรกิจการเงิน Fintech และ e-Payment 113 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 6,344.62 ล้านบาท และ ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น ร้านสะดวกซัก เครื่องเติมเงิน เครื่องเติมน้ำ 452 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2,938.77 ล้านบาท”
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า คาดว่าปี 2564 การประกอบธุรกิจของภาคธุรกิจจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นและเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น โดยต้องพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้
” ขอแนะนำว่า ผู้ประกอบการที่กำลังจะลงทุนประกอบธุรกิจ และกำลังมองหาธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่ง 12 ธุรกิจดังกล่าวข้างต้น น่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากกระแสธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมแล้ว ความชื่นชอบและความถนัดเป็นอีกคุณสมบัติที่ต้องคำนึง เนื่องการลงทุนมีความเสี่ยง การลงทุนทำธุรกิจต้องมีรอบคอบให้มากที่สุด” นายวีรศักดิ์ กล่าว