กรรมการสรรหา แจงยิบ 3 ปม เฟ้นว่าที่ กสทช.

กรรมการสรรหา แจงยิบ 3 ปม เฟ้นว่าที่ กสทช.

วันที่ 29 มกราคม กรรมการสรรหากรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ออกหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อให้วุฒิสภาคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ระบุว่า

หลังจากคณะกรรมการสรรหา กสทช. ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อต่อวุฒิสภาเพื่อคัดเลือกแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 ปรากฏว่า มีการแสดความห็นทางสื่อมวลชน ทั้งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และสื่อโซเซียล (โซเชียลมีดีย) วิพากษ์วิจารณ์ผลการสรรหาดังกล่าวข้างต้นหลายประการ คณะกรรมการสรรหา กสทช. พิจารณาแล้ว เห็นว่า คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นมีหลายประเด็นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งในแง่ของหลักเกณฑ์ทางกฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการสรรหา และในแง่ของการปฏิบัติ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อคณะกรรมการสรรหา กสทช. และกระบวนการสรรหา คณะกรรมการ กสทช. ได้ จึงเห็นควรชี้แจงต่อสาธารณะเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

เบื้องตัน คณะกรรมการสรรหา กสทช. ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระฐายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ผู้ที่ทำหน้าที่คัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ในขั้นตอนสุดท้าย คือ วุฒิสภา ไม่ใช่คณะกรรมการสรรหา กสทช. คณะกรรมการสรรหา กสทช. มีหน้าที่เพียงกลั่นกรองเบื้องต้นจากผู้สมัครทั้งหมดเพื่อเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กสทช. ต่อวุฒิสภา เพื่อให้พิจารณาคัดเลือกเท่านั้น วุฒิสภามีอำนาจที่จะเลืกบุคคลตามรายชื่อที่คณะกรมการสรรหา กสทช. เสนอไปหรือไม่ก็ได้

Advertisement

ทั้งนี้และทั้งนั้นผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ในขั้นสุดท้าย จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้าม มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ต่อกิจการของ กสทช. และมีความเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด การพิจารณาในเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามตลอดจนความรู้ความสามารถ ประสบกรณ์และความหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่วุฒิสภาจะต้องหยิบยกขึ้นมาพิจารณาด้วย มิใช่ยุติในชั้นการพิจรณาของคณะกรรมการสรรหา กสทช.

คณะกรรมการสรรหา กสทช. ขอสงวนความเห็นไม่ชี้แจงคำวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นเกี่ยวกับตัวผู้สมัคร ทั้งที่ได้รับการคัดเลือกและไม่ได้รับการคัดเลือกว่าผู้ใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเพราะเป็นรื่องที่ต่างคนต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ โดยคณะกรรมการสรรหา กสทช. ขอชี้แจงเฉพาะประเด็นความเข้าใจที่คลาดเลื่อนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในกระบวนการพิจารณาสรรหาผู้สมัครเป็นกรรมการ กสทช. ใน 3 ประเด็น ดังต่อไปนี้

Advertisement

ประเด็นที่ 1 เหตุใดคณะกรรมการสรรหากรรมการ กสทช. จึงให้ผู้สมัครทั้ง 80 คนเข้าแสดงวิสัยทัศน์ทั้งหมด โดยไม่ตัดรายชื่ผู้ที่ขาดคุณสมบัติออกไปเสียก่อน

พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอนของการ พิจารณาสรรหาคณะกรรมการ กสทช. ไว้เป็นการเฉพาะแต่อย่างใด กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้แต่เพียงเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ของบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. เท่านั้น การที่ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอนของการพิจารณาสรรหาคณะกรรมการ กสทช. ไว้เป็นการเฉพาะ ไม่ได้หมายความว่าคณะกรรมการสรรหา กสทช. จะสามาถดำเนินการสรรหาผู้ที่สมควรได้รับการเสนอชื่อต่อวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ได้ตามอำเภอใจ เพราะการพิจารณาคัดเลือกหรือสรรหาคณะกรรมการ กสทช .เป็นกระบวนการพิจารณา เรื่องทางปกครองเพื่อทำคำสั่งทางปกครองอย่างหนึ่ง

ดังนั้น คณะกรรมการสรรหา กสทช. จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 อันเป็นกฎหมายกลางที่กำหนดวิธีพิจารณาเรื่องทางปกครองอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นผลของการสรรหา อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้ โดยเฉพาะ ตามมาตรา 30 ของกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้คณะกรรมการสรรหา กสทช. ต้องเปิดโอกาสให้ผู้สมัครแต่ละคนชี้แจงแสดงพยานหลักฐานโต้แย้งข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. ได้มาเองและจะใช้ในการพิจารณาศัดเลือกผู้สมัคร อันเป็นหลักกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้สมัครทุกคนในอันที่จะไม่ถูกกล่าวหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่มีโอกาสโต้แย้ง

โดยที่ในชั้นตอนการตรวจสอใบสมัครของผู้สมัครแต่ละคนนั้น ผู้สมัครกรรมการสรรหา กสทช. ได้รับรายงานข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม รวมทั้งมูลอื่น ๆ อันเป็นประโยชน์ในการดำเนินการสรรหา กสทช. จากหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจควรดำง กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรม, สำนักงานเลขาธิการ กสทช. ฯลฯ ข้อมูลที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. ได้รับมานั้น หลายประการเป็นข้อมูลที่ผู้สดรไม่ได้แสดงไในไงสมัคร เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประกอบการพิจรณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครได้โดยถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาเรื่องทางปกครอง คณะกรรมการสรรหา กสทช. จำต้องปฏิบัติตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กล่าวคือ เปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้รับรู้ว่ามีข้อมูลเหล่านั้นรายงานมายังคณะกรรการสรรหากสทช. และโต้แย้งหรือชี้แจงข้อมูลเหล่านั้นต่อคณะกรรมการสรรหา กสทช.

อนึ่ง ตามพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโกคมนาคม พ.ศ.2553 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 คณะกรรมการรรหา กสทช.มีระยะเวลาเพียง 3 วันนับแต่วันที่รับรายชื่อผู้สมัครจากสำนักงานเลขาธิกวุฒิสิภา เพื่อดำเนินการพิจารณาสรรหาและเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ต่อวุฒิสภา คณะกรรมการสรรหา กสทช. ไม่สามารถจัดให้มีการเชิญผู้สมัครแต่ละรายมารับทราบและโต้แย้งหรือชี้แจงข้อมูลที่หน่วยงานต่างๆ รายงานมายังคณะกรรมการสรรหา กสทช. เพื่อพิจารณาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามโดยจัดเป็นขั้นตอนหนึ่งแยกออกไปต่างหากได้ ดังนั้น เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาเรื่องทางปกครองดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการสรรหา กสทช. จึงเห็นสมควรให้ผู้สมัครทุกคนเข้าแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้ทราบถึงข้อมูลที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. ได้มา และโต้แย้งหรือชี้แจงข้อมูลดังกล่าวนั้นพร้อมๆ กับการแสดงวิสัยทัศน์

ประเด็นที่ 2 เหตุใดคณะกรรมการสรรหา กสทช. จึงให้ผู้สมัครแสดงวิสัยทัศน์ด้วยวาจาและการสัมภาษณ์ คนละไม่เกิน 10 นาที โดยแบ่งเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ 5 นาที และการสัมภาษณ์ 5 นาที

โดยที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. มีระยะเวลาในการดำเนินการคัดเลือกเพื่อเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กสทช. ต่อวุฒิสภา ภายใน 30 วันนับแต่ได้รับรายชื่อผู้สมัครจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา อันเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก เมื่อคำนึงถึงจำนวนผู้สมัครซึ่งมีจำนวนมากถึง 80 คน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการสรรหาสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายดังกล่าว คณะกรรมการสรรหา กสทช. จึงได้กำหนดให้ผู้สมัครทุกคนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติ ผลงาน ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ตลอดจนวิสัยทัศน์ต่อกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม มาพร้อมกับใบสมัคร ซึ่งผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกแต่ละคนได้นำเสนอรายละเอียดต่างๆ อย่างมากมาย ให้คณะกรรมการสรรหา กสทช. ได้พิจารณาล่วงหน้าแล้ว

การที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. กำหนดให้ผู้สดรได้มาแสดงวิสัยทัศน์ด้วยวาจาและการสัมภาษณ์คนละไม่เกิน 10 นาที โดยแบ่งเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ 5 นาที และการสัมภาษณ์ 5 นาที นั้น ก็โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะตรวจจ สอบอีกครั้งหนึ่งว่าผู้สมัครได้เขียนวิสัยทัศน์นั้นด้วยตนเองหรือไม่ และเพื่อซักถามความชัดจนในข้อมูลบางประการที่ผู้สมัครได้ให้มาในใบสมัคร รวมทั้งเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้ทราบข้อมูลที่คณะกรรมการสรรหา กสทช.ได้มา และได้โต้แย้งหรือชี้แจงข้อมูลดังกล่าวตามคำชี้แจงในประเด็นที่หนึ่งดังกล่าวแล้วข้างต้น

คณะกรรมการสรรหา กสทช. พิจารณาคัดเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อต่อวุฒิสภาเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ด้วยองค์ประกอบหลายประการ ไม่ใช่พิจารณาเพียงเฉพาะการแสดงวิสัยทัศน์และการสัมภาษณ์ด้วยวาจาในเวลา 10 นาที เท่านั้น

ประเด็นที่ 3 เหตุใดคณะกรรมการสรรหา กสทช. จึงประกาศรายชื่อผู้ที่สมควรเสนอรายชื่อต่อวุฒิสภาเพื่อคัดเลือกแต่งตั้งเป็น กสทช. หลังจากที่เสร็จสิ้นการแสดงวิสัยทัศน์และการสัมภาษณ์ตอบคำถามด้วยวาจาทันที

โดยที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. ทุกคนได้พิจารณาประวัติ ผลงาน ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของผู้สมัครแต่ละรายจากใบสมัครที่ผู้สมัครได้ยื่นไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับได้ฟัง การแสดงวิสัยทัศน์และการตอบคำถามด้วยวาจาของผู้สมัครแต่ละคนอย่างครบถ้วนแล้ว คณะกรรมการสรรหา กสทช. จึงมีข้อมูลต่างๆ อย่างเพียงพอที่จะพิจารณาคัดเลือกรายชื่อผู้สมควรได้รับการคัดเลือก เพื่อเสนอต่อวุฒิสภาให้แต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. โดย พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 กำหนดให้คณะกรรมการสรรหา กสทช. ลงคะแนนเลือกผู้สมควรได้รับการคัดเลือก เพื่อเสนอต่อวุฒิสภาให้แต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ด้านละ 2 คน โดยแต่ละคนจะต้องได้รับคะแนนไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการสรรหา กสทช.

การที่คณะกรรมการสรรหา กสทช. กำหนดให้ลงมติเลือกผู้สมควรได้รับการคัดเลือกเพื่อเสนอต่อวุฒิสภาให้แต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กสทช. ทันทีที่เสร็จสิ้นการแสดงวิสัยทัศน์และการสัมภาษณ์ตอบคำถามด้วยวาจา โดยไม่ทอดเวลาให้เนิ่นนานออกไป ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดการวิ่งเต้นกดดันการตัดสินใจเลือกผู้สมัครของคณะกรรมการสรรหา กสทช.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image