อย่ามัวลังเล รีบโกยทองคำ หลังราคาร่วงหลุด 26,000 บาท อนาคตปรับขึ้นแน่

อย่ามัวลังเล รีบโกยทองคำ หลังราคาร่วงหลุด 26,000 บาท อนาคตปรับขึ้นแน่

ปี 2563 ถือเป็นปีแห่งทองคำอย่างจริงจัง เนื่องจากราคาทองคำปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุด แตะระดับ 30,400 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทองปรับขึ้นกว่า 5,300 บาท จากราคาต่ำสุดที่ 24,650 บาทต่อบาททองคำ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้น หลักๆ เป็นผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 ที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักลงทุนจึงนำเงินสดที่มีอยู่โยกย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ทดแทนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นหรือพันธบัตรรัฐบาล เพราะกังวลว่าการลงทุนจะทำให้เงินหายไป

เปิดสถิติราคาทองคำในปี 2563 เริ่มต้นเดือนมกราคม ราคาบวก 1,700 บาท เดือนกุมภาพันธ์ บวก 500 บาท เดือนมีนาคม บวก 1,200 บาท เดือนเมษายน บวก 1,250 บาท เดือนพฤษภาคม ลดลง 150 บาท เดือนมิถุนายน ลดลง 150 บาท เดือนกรกฎาคม บวก 3,150 บาท เดือนสิงหาคม ลดลง 200 บาท เดือนกันยายน ลดลง 600 บาท เดือนตุลาคม ลดลง 500 บาท เดือนพฤศจิกายน ลดลง 2,250 บาท เดือนธันวาคม บวก 1,350 บาท

ทิศทางในปี 2564 เปิดเดือนแรกของปีนี้มาด้วยการปรับลดลง 800 บาท ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ นับตั้งแต่วันที่ 1-10 กุมภาพันธ์ ราคาปรับลดลงแล้วกว่า 150 บาท แต่หากเปรียบเทียบจุดต่ำสุดและสูงสุดของราคาทองคำ ตึ้งแต่วันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ราคาปรับลดลงแล้วกว่า 1,000 บาท

โดยนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (วายแอลจี) มองว่า ภาพรวมราคาทอง แนวโน้มระยะสั้นยังเป็นขาลง แต่คาดว่าจะไม่นานมากนัก เนื่องจากมีหลายปัจจัยทั้งเป็นบวกและเป็นลบสลับกัน โดยภาพการเคลื่อนไหวในเดือนนี้ คาดว่าจะเป็นการผันผวนลดลงต่อเนื่อง หรือไซด์เวย์ดาวน์ แต่คาดว่าการปรับลงจะไม่มากนัก เพราะเริ่มเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาแล้ว โดยประเมินว่าราคาทองคำสปอตจะสามารถยืนอยู่ได้บริเวณ 1,800 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 25,500 บาท ซึ่งเป็นแนวรับระดับล่างที่ราคาทองคำแท่งปรับลงไปแตะในช่วงเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งหากราคายังสามารถยืนได้ในบริเวณดังกล่าว แนวโน้มการปรับลงจะจำกัด แต่หากราคาทองคำสปอตหลุดบริเวณ 1,760 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 25,000 บาท จะเริ่มเป็นแนวรับสำคัญที่เสี่ยงการปรับลงลึกได้ จึงมองว่าราคาไม่ควรหลุดระดับนี้ รวมถึงยังเห็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำขึ้นได้ต่อ อาทิ การใช้มาตรการผ่อนคลายปริมาณการเงิน (คิวอี) ของสหรัฐ การระบาดโควิด-19 ทั่วโลกที่ยังไม่สามารถคลายตัวได้ และการแข่งค่าของสกุลเงินต่างๆ แต่ก็มีแรงกดดันจากวัคซีนต้านไวรัส ที่เริ่มกระจายฉีดในหลายประเทศแล้ว

Advertisement

“ราคาทองคำที่ปรับลดลงเป็นการปรับทางเทคนิค ซึ่งจะเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่ในระยะกลางถึงยาว ทองคำยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นได้อย่างต่อเรื่อง เพราะมีปัจจะยเสี่ยงหนุนอยู่ ส่วนระยะสั้นที่จะเห็นการปรับลดลง 1-2 เดือนนี้หรือไม่นั้น ค่อนข้างบอกได้ยาก เพราะต้องพิจารณาปัจจัยหนุนหรือปัจจัยกระทบต่างๆ รวมถึงความต้องการเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนด้วย” นางสาวฐิภา กล่าว

ด้านนายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก มองว่า แนวโน้มราคาทองคำเริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณเหนือ 26,000 บาทต่อบาททองคำ จากที่หลุดระดับลงไปแตะ 25,500 บาทต่อบาททองคำ ในภาพรวมคาดว่าราคาจะยังเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่อง (ไซด์เวย์) แต่กลับมาเป็นการผันผวนในขาขึ้น โดยราคาทองคำมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านที่ระดับ 1,850 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และแนวต้านถัดไปที่ 1,875 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หากราคาทะลุ 1,850 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าราคาจะกลับมาเป็นแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนขาขึ้นได้ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยสนับสนุนต่อ และประเมินว่าหากราคาจะอยู่ในโทนขาขึ้นจริง ราคาจะขึ้นไปยืนเหนือบริเวณ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 27,500 บาทต่อบาททองคำ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือ แบ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองทำ เป็นเรื่องการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ ส่วนปัจจัยลบ เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

“ส่วนทิศทางราคาจะปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดเดิม หรือวิ่งไปถึง 30,400 บาทต่อบาททองคำอีกหรือไม่นั้น ประเมินว่ายังคงมีโอกาสอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสนับสนุน คือความเสี่ยงของโควิด-19 นโยบายการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก และภาวะเศรษฐกิจที่อาจยังฟื้นตัวได้ช้า” นายณัฐพงศ์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image