“นักวิชาการ” เปรียบภาพ ตา-ยาย ป้อนข้าวรอลงทะเบียน “เราชนะ” เหมือนด.ญ.เวียดนามถูกระเบิดนาปาล์ม ทำอเมริกาแพ้สงคราม
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.64 รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ นักวิชาการอิสระพัฒนาสังคม โพสต์ความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีการลงทะเบียน เกี่ยวกับโครงการ “เราชนะ” โดยระบุว่า
“#ใครชนะใครแพ้
คุณยายร้องไห้เพราะถูก “ดุเหมือนหมาเลย มันไม่เป็นธรรม ฉันก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ใช่ดุอย่างเดียว คนนะ ไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลา” Suthichai Live จัดหนัก ขึ้นปกภาพข่าว อ้างข่าวต่อจากสื่อต่างๆ
ผู้จัดการออนไลน์ตีข่าว “เปิดใจ 2 ตายายนั่งป้อนข้าวรอลงทะเบียน “เราชนะ” บอก 2 วันแรกไม่ได้คิว-วันที่ 3 ออกบ้านเที่ยงคืน/นอนรอจนได้คิวแรก
โครงการ “เราชนะ” เลยไม่รู้ว่าใครชนะ เห็นข่าวชาวบ้าน คนเฒ่าคนแก่ไปเข้าแถว ไปยืน ไปนั่งรอนอนรอหน้าธนาคารกรุงไทยในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อจะได้บัตรคิว เหมือนคนป่วยที่ไปเข้าคิวรอหมอที่โรงพยาบาล แต่รายการนี่ทุกช์ทรมานเพื่อจะได้เงิน “เยียวยา” แม้ไม่กี่พันบาท ซึ่งเป็น “สิทธิ” ไม่ใช่ไปรอรับความเมตตา
ที่วุ่นวายและไม่ทั่วถึงเพราะวิธีการในการ “แจกเงิน” ที่สับสน งบประมาณล้านล้านเยียวยาโควิด แยกย่อยไปสนับสนุนโครงการอย่างน้อย 300 โครงการ (เพราะที่อภิปรายในสภาว่าจ่ายไปแล้วเจ็ดแสนกว่าล้านนั้น สนับสนุนประมาณ 250 โครงการ เหลือเงินอีก ประมาณสองแสนห้าหมื่นล้าน)
หน่วยงานรัฐน่าจะมีข้อมูล น่าจะเป็นสมาร์ทจีโอ (smart GO) และหาวิธีที่จะเข้าถึงประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนตื่นเที่ยงคืนมาต่อคิวเข้าถึงธนาคารรัฐ
รัฐบาลไทยน่าจะเป็นสมาร์ทรัฐบาล (smart government) เหมือนประเทศพัฒนาหรือกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่มีฐานข้อมูลพร้อม และบูรณาการงานระหว่างกระทรวงและกรมต่างๆ
ถ้ายังไม่มีก็ให้จัดหาข้อมูลทุกครอบครัวหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดให้ครบ ไม่ต้องรออบต. เทศบาล มีมหาวิทยาลัย นักศึกษาทุกจังหวัด กระทรวงอว.ก็ช่วยได้ ให้นักศึกษาอาจารย์ชวยกันรับผิดชอบทำข้อมูลทุกครัวเรือให้ครบ จะได้ไม่ต้องให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปรอเป็นวันๆ ถูกด่าอีก เพื่อจะได้ให้ข้อมูลที่ธนาคารกรุงไทย
นี่คือรัฐราชการที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นตัวตั้ง ให้คนเข้ามาหา ไม่ได้ไปหาประชาชน ทั้งๆ ที่มีเครื่องมือ มีเทคโนโลยี มีงบประมาณ สามารถปรับการบริหารงานให้เป็นดิจิทัล แต่กลับคิดแบบอะนาล็อค ทำแบบอะนาล็อค ยังให้ชาวบ้านคนแก่คนเฒ่าไปเข้าแถวไปรอเพื่อกรอกข้อมูลให้หน่วยงานรัฐไปดำเนินการโอนเงินให้
จะไม่ให้คนเขาเสียดสีได้อย่างไร เพราะประกาศจะเป็น Thailand 4.0 แต่ยังคิดและทำแบบ 0.4 ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแบบ digital transformation ขั้นพื้นฐาน ฐานคิด วิธีคิด (mindset) ก็จะเปลี่ยน จะเอาประชาชนเป็นเป้าหมาย เป็นศูนย์กลาง เป็นตัวตั้ง ไมใช่เอาตัวเอง เอารัฐบาล เอาหน่วยงานรัฐเป็นตัวตั้ง ให้คนไปหา
โครงการเยียวยาและสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ ไม่ได้แก้ปัญหาความยากจน แต่เป็นกับดักด้วยซ้ำ เพราะเป็นการต่ออายุความยากจน เรียกว่าจนซ้ำซาก จนถาวร มาตรการของรัฐเองก็สับสนวุ่นวาย ยุ่งยากในการปฏิบัติ
อย่างโครงการ “แจกเงิน” ต่างๆ ที่ต้องแย่งกันจนสื่อบางสำนักเรียกว่า “รายการชิงเปรต” แย่งของแจกในวันที่มีคนทำบุญ ตื่นตีสามตีสี่เพื่อจะได้ลงทะเบียนทางสมาร์ทโฟน และ “คนแข็งแรง” เท่านั้นที่จะได้ คนยากคนจน คนเจ็บคนป่วย คนพิการ และคนอีกจำนวนมาก “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
ประธานาธิบดี โจ ไบเดิน บอกกับข้าราชการในวันที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “ขอให้รับใช้ประชาชน ถ้าผมได้ยินว่า มีใครในพวกคุณดูหมิ่นประชาชน ไม่เคารพประชาชน ผมไล่ออกอย่างแน่นอน”
ผู้นำประเทศไทยมีใครกล้าพูดเช่นนี้ไหม ตั้งชื่อ “ไทยชนะ” แต่คุณสุทธิชัยพาดหัวรายการว่า “ไทยแพ้” นั้นถูกแล้ว ถ้ารัฐบาลชนะ แต่คนไทยแพ้ แล้วจะมีรัฐบาลไว้ทำไม เป็นรัฐบาลแบบไหน
บ้านเมืองวันนี้ป็นอย่างไรก็ไปดูที่หน้าธนาคารกรุงไทย (ที่เพิ่มเป็นออมสินและธ.ก.ส.) ไปดูบนถนนเมื่อม็อบออกเดิน และไปดูในสภาว่า บ้านเมืองนี้คนไม่มีความสุข คนเป็นทุกข์เพราะอะไร
ดูสภาที่ “น่ารังเกียจ” กับการด่าว่ากันไปมา ประท้วง เสียดสี ตอบโต้ตีฝีปากเป็นศรีธนญชัย เก่งวาทศิลป์ในสภาแต่แก้ปัญหาประชาชนไม่ได้ แค่จัดส่งเงินเยียวยาไม่กี่พันบาทให้ถึงมือประชาชน โดยไม่ต้องให้ไปรอเป็นวันๆ ก็ยังทำไม่ได้
ผู้นำประเทศตอบไปตอบมาก็เหมือนนักฟุตบอลสับขาหลอกแล้วล้มเพราะขัดขาตัวเอง บอกว่า “ผมไม่ได้หวงอำนาจ” แต่ก็อยู่ในอำนาจรัฐประหาร 5 ปี แล้ว “สืบทอดอำนาจ” ถูกกฎหมายด้วยรัฐธรรมนูญอีก 2 ปี และยังขออยู่ต่อไป ไม่รู่อีกนานเท่าใด
แก้ปัญหาบ้านเมือง ปัญหาปากท้องชาวบ้านแก้แบบศรีธนญชัยไม่ได้ ถ้าไม่หวงอำนาจก็ไม่ควรอยู่ในอำนาจ ให้คนอื่นที่เก่งกว่า เหมาะสมกว่าเข้ามาเถิด
เพราะน้ำตาคุณยายที่ถูกดุด่า ภาพสองตายายที่ป้อนข้าวรอบัตรคิว กระทบความรู้สึกของผู้คนมากจริงๆ ไม่ต่างจากภาพเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ถูกระเบิดนาปาล์มและวิ่งหนีตัวเปล่าเอาตัวรอดบนถนนระหว่างสงครามเวียดนาม ภาพที่ชาวบ้าน ผู้ใหญ่ ผู้หญิง คนแก่ เด็ก ถูกฆ่าตายที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบทเวียดนาม ทำให้คนทั่วโลกรับสงครามเวียดนามไม่ได้
สงครามเวียดนาม อเมริกามีอาวุธ มีคน มีเงิน อเมริกาชนะการรบ แต่แพ้สงครามเพราะภาพเหล่านี้