นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2564 ไว้ที่ 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ราว 3,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าในปี 2562 ซึ่งมีรายได้รวมไว้ที่ 3,295 ล้านบาท ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ผลการดำเนินงานปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562 ปรับตัวลดลง โดยรายได้รวมอยู่ที่ 2,913.8 ล้านบาท ลดลง 11.6% กำไรสุทธิ 276.8 ล้านบาท ลดลง 33.0% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 47.4% ลดลง 23.1%
“ถึงแม้ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2563 จะลดลงเมื่อเทียบปี 2562 แต่ถือว่าลดลงน้อยกว่าที่คาด เพราะบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน พยายามลดต้นทุน และหันมาปรับไลน์การผลิตหน้ากากผ้าในการแพร่ระบาดระลอกแรก ทำให้ยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่เป็นกำไรสุทธิได้ แม้ว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาก็ตาม” นายบุญชัยกล่าว
นายบุญชัย กล่าวว่า ปี 2563 รายได้จากช่องค้าปลีก (Retail) ลดลงจากปี 2562 ราว 22.3% ขณะที่ช่องทางออนไลน์ (Non Store Retailing : NSR) เพิ่มขึ้น 65.2% รายได้จากการส่งออกชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” (Export) ในกลุ่มประเทศ CLMV ลดลง 7.9% และรายได้จากการรับผลิตให้กับลูกค้าในยุโรป (OEM) ลดลง 7.5% อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท แต่เนื่องจากได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ดังนั้นบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 0.45 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม
สำหรับปี 2564 นายบุญชัย กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงรุกตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี SABINA ได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อกระชับพื้นที่ขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบริหารงานขายได้คล่องตัวและรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน SABINA จะยังคงนำเสนอสินค้าในระดับราคาที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่าย หลังจากโควิด-19 ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในช่องทาง NSR 20% ส่วนช่องทางค้าปลีกตั้งเป้าเติบโต 15% รายได้จาก OEM เติบโต 15% และรายได้จากการส่งออกในกลุ่มประเทศ CLMV คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 50% จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเวียดนาม รวมทั้งยังมียอดขายจากฟิลิปปินส์เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ
“เป้าหมายการเติบโตในปีนี้จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายจากความคืบหน้าในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนอย่างทั่วถึง โดยไม่เกิดการระบาดรอบใหม่หรือเกิดการกลายพันธุ์ และมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของรัฐในการกระตุ้นการอุปโภคบริโภค ปัจจัยการเมืองไม่ได้ร้อนแรง รวมถึงเศรษฐกิจอาเซียนฟื้นตัวได้ตามเศรษฐกิจโลก และเรายังมีเป้าหมายในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ที่ 47-50% ด้วยการบริหารต้นทุนให้ต่ำลง ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าที่ SABINA ใช้ฐานการผลิตในต่างประเทศมีต้นทุนนำเข้าต่ำลง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาเติบโตได้ตามกรอบที่วางไว้ได้อีกครั้งในปีนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว