เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ บีทีเอส ยื่นฟ้องฝ่ายบริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐ,ธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 กรณี รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่แตกต่างไปจากเอกสารประกวดราคา(RFP)ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ออกไปแล้วโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกระทรวงคมนาคม มีความเป็นห่วงในเรื่องดังกล่าว
“ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีทุจริตโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(แอร์พอร์ตลิงค์) โดยศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก นายจิตต์สันติ ธนะโสภณ อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) โดยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ลงโทษจำคุก 9 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าว กรณีดังกล่าวน่าจะเป็นบทเรียนให้กับคณะกรรมการและฝ่ายบริหาร รฟม. ต่อกรณีการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่นี้ เพราะที่ผ่านมา รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกที่แตกต่างไปจากเอกสารประกวดราคาเดิม จนถูกบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลมีคำสั่งให้ รฟม.ทุเลาการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา พร้อมสั่งให้ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกกลับไปใช้เกณฑ์เดิมตามเงื่อนไขประมูล (RFP) ที่ได้ออกไปแล้ว
“อย่างไรก็ตาม แม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์คัดเลือกใหม่ แต่การที่ฝ่ายบริหาร รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกยังคงมีความพยายามที่จะประมูลภายใต้หลักเกณฑ์คัดเลือกใหม่ดังกล่าว จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า มีความพยายามที่จะแก้ไขเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเพื่อเอื้อให้เอกชนบางราย ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อเกาะติดเรื่องดังกล่าวในการหาแนวทางในการดูแลเรื่องนี้ต่อไป”แหล่งข่าวกล่าว
