ผู้เขียน | ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ |
---|
คอลัมน์คิดเห็น share : รู้จักสามองค์ประกอบการลงทุนใน EV
ที่จะทำให้เราไม่ตกธีมรถไฟฟ้า
หนึ่งในธีมการลงทุนที่โดดเด่นมากในช่วงนี้คือ Electronic Vehicle หรือ EV ที่สำนักวิจัยทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ตลาดกำลังจะขยายตัวแรง จากราว 2 แสนล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ไปเป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2040 คิดเป็นการเติบโตเกิน 20% ต่อปีในอีกสองทศวรรษ ยิ่งมองเลยไปอีก 30 ปีข้างหน้า 90% ของตลาดยานยนต์อาจกลายเป็น EV ไปหมดแล้ว
พอดีกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้พูดคุยกับ คุณกุลฉัตร จันทวิมล และ คุณคมสัน ผลานุสนธิ สองผู้บริหารจาก บลจ. UOB และ Asset Plus ที่เตรียมพร้อมนำเสนอกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจ EV ช่วงนี้
เพื่อความเข้าใจและไม่พลาดโอกาสลงทุน ผมจึงนำบางส่วนของการพูดคุยมาสรุปและให้มุมมองเพื่อให้เราได้คิดตามไปด้วย โดยธีมนี้มี 3 ธุรกิจหลักคือ การผลิตแบตเตอรี่ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งหมดมีความสามารถในการทำกำไร ความเสี่ยง และบทบาทในตลาดการเงินแตกต่างกันทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
องค์ประกอบแรกและเป็นจุดที่มีโอกาสที่สุดในธีมนี้คือ “แบตเตอรี่” เป็นอุตสาหกรรมก้าวกระโดดที่มีการพัฒนาและการแข่งขันสูง
เด่นที่สุดในกลุ่มคือการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ “ลิเธียม”ซึ่งมีฉายาว่าเป็น White Petroleum ส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่
การลงทุนที่เกี่ยวข้องมีไล่ตั้งแต่บริษัทที่ทำเหมืองลิเธียมในทวีปอเมริกาและออสเตรเลีย ไปจนถึงบริษัทชั้นนำในจีนและสหรัฐอเมริกาที่นำลิเธียมมาผลิตต่อเป็นแบตเตอรี่
จุดเด่นขององค์ประกอบนี้ คือต้นทุนที่ลดลงต่อเนื่องสวนทางกับประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่สูงขึ้นรวดเร็ว แต่ด้วยลักษณะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Material พื้นฐาน จึงไม่ได้มี Barrier of Entry ผลตอบแทนมักเคลื่อนไหวไปตามราคาลิเธียม ขณะที่บริษัทเหล่านี้ก็มี Leverage สูง จึงมีความผันผวนระดับ 40% ต่อปี และมีความสัมพันธ์กับตลาด (Beta) สูงที่สุดในสามองค์ประกอบ
ต่อมาคือผู้พัฒนาพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานสะอาด มีจุดเด่นคือได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั่วโลก
กลุ่มการลงทุนนี้จะประกอบไปด้วยผู้ผลิตพลังงาน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานจากหลากหลายต้นกำเนิดเช่น ขยะ ความร้อน เซลล์เชื้อเพลิง น้ำ แสงแดด หรือลม บริษัทเหล่านี้จะมีบทบาทในการกำหนดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ EV มีธุรกิจใหญ่กระจายตัวอยู่ในสหรัฐ ยุโรป และจีน
จุดเด่นคือได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะเป็นส่วนสำคัญสำหรับเป้าหมายการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงมี Flow เข้าตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็มีความเกี่ยวข้องกับหลากหลายอุตสาหกรรม และเป็น Platform ที่สามารถพัฒนาได้ต่อเนื่อง จึงมักมีผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด (Alpha) สูงกว่าธุรกิจอื่น
แต่จุดอ่อนที่ชัดเจนก็คือต้นทุนซึ่งเป็นการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนเหล่านี้จึงมักต้องรอผลตอบแทนในระยะยาว นอกจากนี้ การเมืองก็ต้องนิ่ง เพราะขาดการสนับสนุนจากภาครัฐไม่ได้ ส่งผลให้การลงทุนเหล่านี้มักมีความผันผวนสูงระดับ 30-40% ต่อปี
สุดท้าย ตัวเอกของธีม EV คือกลุ่มผู้ผลิตรถไฟฟ้า
ธุรกิจนี้จะประกอบไปด้วยสองอุตสาหกรรมหลัก คือเทคโนโลยีและยานยนต์ เพราะนอกจากจะตั้งเป้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้เคลื่อนที่ได้ในระยะไกลและราคาถูกลงแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างรถยนต์ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไปจนถึงการใช้รถยนต์โดยสารร่วมกัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นได้จริง จะกลายเป็นธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม
การลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในสหรัฐ จีน และเยอรมนี ส่วนหนึ่งเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรได้แล้ว จึงมีความผันผวนอยู่ในระดับปานกลาง 15-25% อย่างไรก็ดี ปัญหาหลักของการลงทุนในกลุ่มผู้ผลิตรถไฟฟ้าตอนนี้คือการบริหารสัดส่วนลงทุน ระหว่างกลุ่มยานยนต์แบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยแต่หุ้นมีราคาสูง (เช่น Tesla) กับกลุ่มยานยนต์ปัจจุบัน ที่ตลาดมองว่าจะถูก Disrupt ถ้าไม่สามารถปรับเปลี่ยนตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ด้วยภาวะเช่นนี้ การแข่งขันในอุตสาหกรรมจึงสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าใครลงทุนผิดบริษัท ผิดช่วงเวลาก็อาจไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างที่หวัง
โดยสรุป การลงทุนในธีม EV มีโอกาสสร้าง Alpha ให้นักลงทุนแน่ แต่ความแตกต่างอยู่ที่การรับความเสี่ยงบนองค์ประกอบอะไร เท่าไหร่ และเมื่อไหร่
แม้ทุกส่วนของธีม EV จะเป็นอนาคต แต่ระยะสั้นมีโอกาสและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
ผมมองตรงไปตรงมาที่สุดคือธุรกิจแบตเตอรี่ ต่อให้ธุรกิจ EV เกิดช้า ก็สามารถสะสมสินค้าคงเหลือและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตระหว่างทางได้ ส่วนกลุ่มผู้พัฒนาพลังงานสะอาด มีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาลก็จริง แต่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่าเก็งกำไร และน่าตื่นเต้นที่สุดคงหนีไม่พ้นกลุ่มธุรกิจยานยนต์ นักลงทุนสามารถเลือกบริษัทที่ความผันผวนสูงเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้น
ดังนั้น นักลงทุนที่เชื่อมั่นและอยากลงทุนธีม EV ต้องเลือกจังหวะการลงทุนให้เหมาะสม อาจลงทุนที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่เป็นพื้นฐาน และแบ่งส่วนหนึ่งลงทุนในเทคโนโลยีด้านพลังงานเพื่อลุ้นกับอนาคต และอีกส่วนหนึ่งลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อปรับความเสี่ยงของพอร์ตในระยะสั้น
ท้ายที่สุด ประเด็นที่ผม คุณกุลฉัตร และคุณคมสัน เห็นพ้องต้องกันคือ ธีมการลงทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แม้บริษัทในอุตสาหกรรม EV จะซื้อขายกันที่ระดับราคาแพงเมื่อเทียบกับการลงทุนทั่วไป แต่โอกาสในอนาคตก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่ามีประเด็นเรื่องความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่ต้องจับตา
การจัดสัดส่วนลงทุนในสามองค์ประกอบของธุรกิจ EV ให้เหมาะสม จึงเป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำให้เราสามารถลงทุนอย่างสบายใจ ไม่ตกรถไฟฟ้า EV คันนี้ครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน EASY INVEST
บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS)