‘วาว แฟคเตอร์’ นำธุรกิจอาหารฝ่ามรสุมโควิด-19 พร้อมจ่ายปันผลทันทีหลังมีกำไร

วาว แฟคเตอร์นำธุรกิจอาหารฝ่ามรสุมโควิด-19 พร้อมจ่ายปันผลทันทีหลังมีกำไร

นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) (W) เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานปี 2563 ซึ่งธุรกิจอาหารเจอผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ร้านอาหารในเครือ Food Holding สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเราเชื่อว่าปัจจัยความสำเร็จนี้เกิดจากการที่เรามุ่งพัฒนาสิ่งต่างๆ ที่เคย Commit ไว้กับผู้ถือหุ้น โดยในปี 2563 บริษัทมีพัฒนาการที่สำคัญที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการขายผ่าน Delivery ซึ่งเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดได้เป็นอย่างดีในช่วงโควิด-19 การรวมแบรนด์ร้านขนมญี่ปุ่นทุก Brand ในร้านเดียว ภายใต้ Concept “Bake Works” ซึ่งจะทำให้ค่าเช่าที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ, การปรับปรุงบริการและคุณภาพอาหารของ Kagonoya โดยเฉพาะเรื่องเนื้อวัว ซึ่งเป็นจุดแข็งของแบรนด์ และได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า นอกจากนี้เรายังมีการปรับปรุงร้าน Le Boeuf ให้กลับเข้ามาในตลาดในฐานะร้าน Steak ชั้นนำได้

 

ในปีที่ผ่านมาเรายังมีการขยายร้านอาหารในเครือ Food Holding ทั้งในรูปแบบของการขยายสาขาของร้านอาหารเดิมที่เรามีให้กระจายถึงฐานลูกค้าได้มากขึ้น โดยได้เปิด Kagonoya สาขาปิ่นเกล้าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 และ Le Boeuf สาขาอารีย์ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นต้น และปัจจุบัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการเปิดสาขาเพิ่มเติมของทุกแบรนด์ในกลุ่มอย่างน้อย 1-3 สาขาต่อแบรนด์ นอกจากนี้เรายังได้หาแบรนด์ใหม่ๆ มาเติม Port ร้านอาหารของเราเช่นร้านเนื้อย่าง Yuma ซึ่งเรามองว่ากลยุทธ์ที่เราวางไว้เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการโดยรวมในปี 63 ดีขึ้นนายศิรัตน์กล่าว

 

Advertisement

นายศิรัตน์กล่าวว่า สำหรับ Domino’s Pizza เรามองว่าจะเป็นเรือธงของกลุ่มบริษัท เพราะตลาดพิซซ่าในไทยมีขนาดใหญ่นับหมื่นล้านบาท และ Domino’s Pizza ก็เป็นแบรนด์ QSR PIZZA ชั้นนำของโลกนั้น ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเรารับโอนธุรกิจ Domino’s Pizza พบว่าอยู่ในภาวะขาดทุน โดยเราได้ใช้เวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมาในการแก้จุดอ่อนและเสริมจุดแข็ง ซึ่งปัจจุบันต้องบอกว่าเราได้ดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว โดยใน Phase ถัดไปจะเป็นการเปิดสาขาเพิ่มให้ครอบคลุมฐานลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งหากดำเนินแล้วเสร็จตามแผนในช่วงไตรมาส 4 ก็คาดว่าจะพาธุรกิจผ่านจุดคุ้มทุนได้ โดยหากสถานการณ์ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย เรามั่นใจว่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อธุรกิจในเครือ W ทั้งหมดเพราะฐานลูกค้าหลักกลุ่มใหญ่ของเราจะกลับมา ทั้งกลุ่มท่องเที่ยว, พนักงานออฟฟิศ, และลูกค้ากลุ่ม Dine-in ซึ่งจากข่าวการแพร่ระบาดที่ลดลง รวมถึงการนำเข้าวัคซีน เราเชื่อว่ายอดขายของร้านอาหารของเราจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2564 นอกจากนี้ จากแผนการเปิดสาขาใหม่ของ Domino’s Pizza รวมถึงการเปิดสาขาใหม่ของแบรนด์อื่นๆ ในอนาคตอันใกล้ เราค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำให้ผลประกอบการปี 2564 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

ทั้งนี้ W ได้มีการแจ้งมติการอนุมัติการรวม Par และลดทุนในวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาเช่นกัน โดยนายศิรัตน์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าจากที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจัดโครงสร้างทุนของบริษัทด้วยการรวมพาร์และลดทุนชำระแล้วด้วยการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติแล้วบริษัทจะดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2564 ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทสะท้อนสถานะทางการเงินที่แท้จริง โดยหากในอนาคตบริษัทมีกำไรและกระแสเงินสดก็จะสามารถปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่งของบริษัท โดยภายหลังการดำเนินการจัดโครงสร้างทุน หุ้นของบริษัทจะลดลงจากราว12,000 ล้านหุ้น เหลือเพียงราว 814 ล้านหุ้น และงบการเงินไตรมาส 2/2564 ของบริษัทจะไม่มีขาดทุนสะสมและส่วนต่ำมูลค่าหุ้นอีก (ขาดทุนสะสมในงบปี 63 จำนวน 953 ล้านบาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้นจำนวน 10,321 ล้านบาท)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image