รฟม.-กรมรางฯ เห็นพ้องดึงคืน รฟฟ.สายสีเขียว หลังจ่อหมดสัมปทานปี 72

รฟม.-กรมรางฯ เห็นพ้องดึงคืน รฟฟ.สายสีเขียว หลังจ่อหมดสัมปทานปี 72 ทีดีอาร์ไอกังวล ค่าโดยสารแพงกว่าสิงคโปร์ กว่าเท่าตัว

นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายในการเสวนา หัวข้อ ชำแหละค่ารถไฟฟ้า ที่เหมาะสม ว่า ขร. ยอมรับว่าปัจจุบันค่าโดยสารรถไฟฟ้าของไทยมีอัตราที่สูง หากเทียบกับรถไฟฟ้าของต่างประเทศ ซึ่งแนวคิดในการปรับรถค่าโดยสารรถไฟฟ้า ขร. มองว่าจะต้องเร่งพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ และพื้นที่การค้าภายในสถานีให้เพิ่มมากขึ้น เข้ามาสนับสนุนรายได้ และเป็นส่วนช่วยในการปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า

“ต่างประเทศโครงการรถไฟฟ้าจะมีพื้นที่คอมเมอร์เชียล หรือพื้นที่การค้า ประมาณ 30-40% ของพื้นที่โครงการ เข้ามาช่วยเป็นรายได้เพิ่มเติมนอกเหนือจากรายได้การเดินรถ ซึ่งจะทำให้เอกชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถไปปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้ ส่วนนี้กรมฯ มองว่าปัจจุบันรถไฟฟ้าในไทยยังมีพื้นที่ดังกล่าวน้อย ทำให้ค่าโดยสารแพง เราคงจะต้องค่อยๆ ปรับ ค่อยเป็นค่อยไป” นายกิตติพันธ์ กล่าว

นอกจากนี้ กรมฯ ยังเห็นด้วยที่จะเอาโครงการรถไฟฟ้าหมดสัญญาสัมปทาน กลับมาให้รัฐบริหาร และนำรายได้จากโครงการที่ทำกำไรอยู่แล้ว มาสนับสนุนเฉลี่ยโครงการที่ยังไม่มีกำไร และเป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดเป็นตั๋วร่วม เพราะจากการสำรวจสัญญาสัมปทานในปัจจุบัน ก็พบว่ามีเพียงโครงการเดียวที่เอกชนบริหาร ส่วนที่เหลือเป็นโครงการของรัฐ รัฐจ้างเดินรถ ดังนั้นในปี 2572 ก็เป็นโอกาสที่รัฐจะทำตั๋วร่วม เพราะทุกโครงการจะเป็นของภาครัฐทั้งหมด และหากรัฐเข้ามาบริหาร การชดเชยรายได้ก็สามารถทำได้ ค่าโดยสารก็จะกำหนดราคาเองได้ ปรับให้ถูกลง

Advertisement

นายกิตติพันธ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ขร.อยู่ระหว่างผลักดัน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกา คาดว่าจะมีการเร่งรัดเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และนำเข้ากฤษฎีกาชุดพิเศษ ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยพ.ร.บ.การขนส่งทางราง จะควบคุมค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย ต้องผ่านการเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม และกรมฯ และคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง ดังนั้นหลังจากนี้จะไม่ได้เห็นราคาที่ไม่ผ่านการกำหนดโดยกรมรางฯ ทุกโครงการจะเป็นราคาที่ไม่เป็นภาระประชาชน

นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่าในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นโครงการที่ลงทุนไปแล้ว ประเทศเราเลือกลงทุนด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุน ดังนั้นก็ต้องดำเนินการตามสัญญา แต่สัญญาที่รัฐมีต่อบีทีเอสกำลังจะหมดลงในปี 2572 ดังนั้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะกลับมาเป็นของภาครัฐอย่างสมบูรณ์ และด้วยเส้นทางสายสีเขียวที่เป็นกระดูกสันหลังของกรุงเทพฯ มีผู้โดยสาร 8-9 แสนคนต่อวัน เป็นโครงการที่ทำกำไร หรือ Brown Field มีความเป็นไปได้ที่จะนำรายได้จากโครงการ Brown Field มาสนับสนุนโครงการอื่นที่ทำใหม่ยังไม่เกิดกำไร หรือ Green Field

ด้าน นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับค่าครองชีพในประเทศแล้ว ถือว่าแพง อยากให้ประเทศไทยยึดการคิดอัตราค่าโดยสารเหมือนประเทศอื่น อาทิ ประเทศสิงคโปร์ ได้ออกแบบให้คนใช้รถไฟฟ้า 80% ที่เหลือใช้เป็นรูปแบบคูปอง

หากใช้เงินสดในการเดินทาง เริ่มต้น 24 บาท หากเดินทางมากกว่า 40 กิโลเมตร สูงสุด 65 บาท แต่หากใช้บัตรรถไฟฟ้าค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 20 บาท และสูงสุดไม่เกิน 50 บาท ส่วนของไทย แค่เพียงสายเดียวก็ 42 บาทแล้ว อาทิ เดินทางจากมีนบุรีไปสยาม หรือประมาณ 20 กิโลเมตร ต้องจ่ายค่าโดยสาร 99 บาท ซึ่งแพงกว่าสิงคโปร์เป็นเท่าตัว ดังนั้น จึงต้องมาทบทวนสัมปทาน ควรให้รถไฟฟ้าทุกสายเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้ค่าโดยสารถูกลง

“ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียว หากเร็วๆ นี้ ยังไม่มีข้อสรุป ในเรื่องของราคาก็ควรที่จะชะลอการทบทวนต่อสัมปทานไปก่อนดีกว่ามาเร่งต่อสัมปทานแล้วยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งจะยิ่งทำให้แก้ไขลำบากมากขึ้น” นายสุเมธ กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image