คลังส่งสัญญาณโยกเงิน 2.4 แสนล้านบาท โปะเยียวยา-กระตุ้นใช้จ่าย ก่อนไตรมาส 3

คลังส่งสัญญาณโยกเงิน 2.4 แสนล้านบาท โปะเยียวยา-กระตุ้นใช้จ่าย ก่อนไตรมาส 3

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การดำเนินมาตรการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการสำหรับกู้เงินในก้อนดังกล่าวแล้ว 760,000 ล้านบาท ยังคงเหลือเงินกู้อีก 240,000 ล้านบาท ซึ่ง พ.ร.ก. ดังกล่าวจะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2564 แต่หลังจากนั้น หากจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม จะต้องออกกฎหมายเพิ่มเติม หรือกฎหมายฉบับใหม่

น.ส.กุลยากล่าวว่า ขณะที่เม็ดเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ที่ยังเหลืออยู่อีก 240,000 ล้านบาท ยังมีเม็ดเงินจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง ปี 2564 ในส่วนของเงินสำรองจ่ายเพื่อการฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 99,000 ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายไปแล้วประมาณ 500 ล้านบาท หรือ 0.5% และยังมีงบสำหรับบรรเทาโควิด-19 อีก 40,000 ล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายไปแล้ว 3,200 ล้านบาท หรือ 8% จึงยังมีเงินเพียงพอสำหรับนำมาใช้ได้

น.ส.กุลยากล่าวอีกว่า ตามแผนเดิม หลังจบมาตรการ “เราชนะ” ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 จะมีการประเมินผล หากต้องการเพิ่มการขับเคลื่อน (โมเมนตัม) ในระบบเศรษฐกิจ อาจนำโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 มาใช้ต่อ เพราะถือเป็นมาตรการที่กระตุ้นการใช้จ่ายได้อย่างดี แต่ตอนนี้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปต้องมาประเมินสถานการณ์กันอีกครั้งหนึ่ง

“เม็ดเงินกู้ยังเหลืออีก 240,000 ล้านบาท เม็ดเงินนี้ควรเอามาใช้อัดฉีดลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงต้นไตรมาสที่ 3/2564 เป็นต้นไป แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เกิดการระบาดอีกรอบ จะต้องมาพิจารณาว่าเม็ดเงินควรจะลงสู่ระบบเร็วขึ้นหรือไม่ คืออยากเห็นเม็ดเงินที่ลงต่อเนื่อง ซึ่งเงินกู้นี้ต้องอนุมัติวงเงินภายในเดือนกันยายนปีนี้ โดยต้องมีโครงการที่จะใช้งบที่ชัดเจน” น.ส.กุลยากล่าว

Advertisement

น.ส.กุลยากล่าวว่า สำหรับการดำเนินมาตรการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่เกิดการระบาดในช่วงต้นปี 2563 รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเยียวยาผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเยียวยาผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ได้สิทธิ 15.3 ล้านคน วงเงิน 228,919 ล้านบาท โครงการเยียวยาเกษตรกร ผู้ได้สิทธิ 1.16 ล้านคน วงเงิน 3,080 ล้านบาท โครงการเยียวยากลุ่มเปราะบาง ผู้ได้สิทธิ 6.66 ล้านคน วงเงิน 19,991 ล้านบาท โครงการเยียวยาผู้ประกันตนตาม ม.33 ที่ส่งเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน ผู้ได้สิทธิ 1.39 หมื่นคน วงเงิน 209 ล้านบาท

โดยเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 1 ผู้ได้สิทธิ 13.57 ล้านคน วงเงิน 20,341 ล้านบาท และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 ผู้ได้สิทธิ 14.794 ล้านคน วงเงิน 50,141 ล้านบาท ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2563 จำนวน 435,984 ล้านบาท ส่งผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจ 1.2% ทำให้ตัวเลขจีดีพีปี 2563 ติดลบลดลงเหลือ 6.1%

น.ส.กุลยากล่าวว่า ขณะที่การดำเนินมาตรการในปี 2564 ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ผู้ได้สิทธิ 14.79 ล้านคน วงเงินประมาณ 51,923 ล้านบาท โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ผู้ได้สิทธิ 13.34 ล้านคน วงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท และมาตรการเยียวยาหลังมีการระบาดรอบใหม่ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ผ่านโครงการเราชนะ ผู้ได้รับสิทธิล่าสุด 32.5 ล้านคน วงเงินที่ตั้งไว้ 210,200 ล้านบาท และโครงการเรารักกัน ผู้ได้รับสิทธิประมาณ 9.27 ล้านคน วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบผ่านโครงการดังกล่าวรวมประมาณ 319,200 ล้านบาท ส่งผลต่อตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 2 ของปี 2564 ประมาณ 0.8%-0.9%

Advertisement

น.ส.กลุยากล่าวว่า สศค.เตรียมประเมินตัวเลขจีดีพีปี 2564 ใหม่ ในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ จากตัวเลขเดิมที่ประเมินไว้ในช่วงเดือนมกราคม 2564 คือขยายตัวได้ที่ 2.8% แต่ตัวเลขที่จะปรับประมาณการใหม่จะเป็นอย่างไร ยังต้องรอผลการประเมินอีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบที่ 3 จึงยังต้องรอดูว่าในช่วงสงกรานต์นี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดจะมีมาตรการใดๆ ออกมาบ้าง

น.ส.กุลยากล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หากยังไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ถือว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น สะท้อนจากตัวเลขการใช้จ่ายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนของเอกชนที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจโลกดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมกราคม 2564 โดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐโตได้ถึง 6% ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็ดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์เดิม ซึ่งส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออกของไทย รวมถึงตัวเลขภาคการท่องเที่ยวด้วย

“ตัวเลขเป้าหมายของรัฐบาลการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ 4% หากดูสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ถือว่าสถานการณ์เศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้นจริงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก แต่เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้น จึงยังต้องติดตามข้อมูลอีกครั้ง ว่าจะสามารถปรับประมาณการตัวเลขขึ้นได้หรือไม่ แต่ขณะนี้ก็ยังถือว่ามีปัจจัยบวกจากสถานการณ์นอกประเทศ ในเรื่องของการส่งออกและเศรษฐกิจโลกที่ดีกว่าคาด แต่ต้องมาดูในประเทศโดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดรอบใหม่รอบ 3 ได้ดีแค่ไหน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะชะงักไปหรือไม่ หรือหากยังไปต่อได้เหมือนการระบาดรอบ 2 ที่ไม่มีการล็อกดาวน์ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก” น.ส.กุลยากล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image