| ผู้เขียน | ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ |
|---|
คิดเห็นแชร์ : ‘ห้า’คำถาม/คำตอบ ของหุ้นจีน ในปัจจุบันและอนาคต
“หุ้นจีน” กลายเป็นสินทรัพย์ในตลาดที่ถูกนักลงทุนตั้งคำถามมากที่สุด เพราะหลังจากที่ปรับตัวขึ้นได้ดีมากในปี 2020 แต่กลับย่อตัวลงตั้งแต่เดือนมีนาคมและกลับขึ้นมาไม่ได้เหมือนตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้
ผมจึงรวบรวม 5 คำถามที่เกี่ยวข้อง มาช่วยกันคิด ให้ความเห็น และแชร์คำตอบไปพร้อมกัน
(1) เศรษฐกิจจีนไม่ดีพอ?
ทั้งที่เศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัวได้ถึง 18% แต่ตลาดกลับไม่พอใจ มองตามความจริง การขยายตัวขนาดนี้แม้จะเกิดจากฐานที่ต่ำ ก็ยังถือว่าเป็นการฟื้นตัวในแทบทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ไม่ควรมองเป็นข้อเสีย
แต่ที่การฟื้นตัวดูจะดีไม่พอ ผมเชื่อว่าเกิดจากการที่ตลาดไม่ได้สนใจตัวเลขระยะสั้น แต่กังวลกับแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องติดตามต่อ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของภาคบริการ ภาคการเงิน และที่ขาดไม่ได้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐซึ่งในปัจจุบันแค่ “ประคอง” ให้เศรษฐกิจขยายตัวเกิน 6% เท่านั้น
(2) ที่ตลาดไม่ฟื้นเพราะภาครัฐคุมเข้มธนาคารและการปล่อยสินเชื่อ?
ไม่ใช่แค่กรณีบริษัทจัดการทรัพย์สินของรัฐล่าสุด แต่ตั้งแต่ปี 2018 แทบไม่มีปีไหนเลยที่จีนไม่พบกับเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้ใหญ่ๆ
ส่วนตัวผมมองว่ามีส่วนอยู่บ้าง เนื่องจากมุมมองในเชิงนโยบายที่ “ไม่อุ้ม” ทำให้นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมกับการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทในจีนต่อเนื่อง
แม้ในระยะยาวการปล่อยให้ตลาดหาสมดุลเอง จะทำให้เกิดการสร้าง Credit Spread ที่เหมาะสม และสามารถกำหนดมาตรฐานการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ได้ชัดเจน แต่ในระยะสั้น การคุมเข้มสินเชื่อ ทำให้ Default Rate ทรงตัวและเพิ่มต้นทุนทางการเงิน ซึ่งกดดันอารมณ์การลงทุนของตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(3) ทางการจีนต้องการควบคุมธุรกิจอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว?
จากที่เราได้เห็นแล้วว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ถูกเบรกกิจกรรมทางธุรกิจหลายอย่าง ครั้งนี้ผมมองว่าทางการจีนมีการจัดการกับเอกชนอย่างเป็นระบบมากกว่าทุกครั้ง ความเสี่ยงจึงอาจไม่จบในระยะสั้น และคาดว่าจะส่งผลให้การทำกำไรในธุรกิจเทคโนโลยียากยิ่งขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี แม้ทางการจะคุมเข้ม แต่คู่แข่งในธุรกิจนี้ถือว่ามีไม่มาก โอกาสที่ต่างชาติจะเข้ามาแย่งตลาดก็น้อย บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จึงอาจแค่เปลี่ยนจากการ “กินรวบ” มาเป็น “กินแบ่ง” ซึ่งคาดว่าจะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนของทั้งกลุ่มธุรกิจในระยะยาวได้อยู่
(4) นโยบายการเงินจะเข้มงวดก่อนประเทศอื่น?
เพราะเงินเฟ้อในจีนปี 2021 จะสูงกว่า 3% ซึ่งมากกว่าเศรษฐกิจใหญ่ที่อื่นของโลก
แต่ส่วนตัวผมมองว่าการ “คงดอกเบี้ย” คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น แม้ทางการจีนจะตั้งเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ต่ำ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยสกัดการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อหลังวิกฤต
ส่วนในฝั่งตลาดเงิน ปัจจุบันเงินหยวนไม่ผันผวน ทั่วโลกไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ย แรงกดดันเงินทุนไหลออกก็ไม่มากเหมือนในช่วงสงครามการค้า ความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดตอนนี้จึงถือว่าน้อย
(5) อะไรกันแน่ที่จะทำให้หุ้นจีนปรับตัวขึ้นต่อจากนี้?
ผมมองย้อนกลับไปสังเกตการฟื้นตัวของตลาดหุ้น Emerging Markets (EM) รวมถึงจีน ตั้งแต่ปี 1987 ถึงปัจจุบัน แยกประเด็นสนับสนุนออกได้เป็น 3 อย่าง คือนโยบายเศรษฐกิจ Multiple และรายได้
พบว่า “ก่อนวิกฤตปี 2008” เป็นช่วงที่ดีที่สุดของทั้งจีนและ EM โดยตลาดปรับ multiple ขึ้นพร้อมกับรายได้ เนื่องจากมีนโยบายเศรษฐกิจสนับสนุน แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินหรือการคลังก็ลดบทบาทลง
จนมาถึงการ “ปรับฐานในปี 2015” หลังจากนั้น นโยบายเศรษฐกิจหรืออัตราแลกเปลี่ยน ก็ไม่กลับขึ้นมาเป็นประเด็นที่ชี้นำตลาดจีนในระยะยาวได้เลย สะท้อนว่าบทบาทของนโยบายเศรษฐกิจที่เคยกำหนดทิศทางตลาดได้ในอดีต อาจไม่มีผลมากกับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันและอนาคต
ส่วนช่วงที่ตลาดขยายตัวด้วย Multiple อย่างเดียวนั้น มักเกิดขึ้นหลังการปรับฐาน (เช่นในปี 2019) หรือหลังวิกฤต (เช่นในปี 2020) แต่มักไม่เปลี่ยนแปลงมากในปีปกติ
มองโลกในแง่ดี แม้ตลาดจะซื้อขายในระดับ multiple ที่สูงเมื่อเทียบกับอดีตก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปรับฐานลง แต่ในทางกลับกัน เมื่อไม่ใช่ปีที่มีเหตุการณ์พิเศษ โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นปรับ multiple ขึ้นไปสูงกว่านี้ก็เกิดขึ้นได้ไม่ง่าย
สุดท้ายคือรายได้ ตั้งแต่ปี 2012 ถึงปัจจุบัน “รายได้” แทบไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะสั้น แต่กลายเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวของการเติบโตของรายได้ (รอบ 10 ปีขึ้นไป) ที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยการปรับตัวขึ้นของตลาด ตีความได้ว่าแนวโน้มรายได้ อาจเป็นหนึ่งในประเด็นที่สามารถบอกทิศทางของหุ้นจีนในอนาคต
นั่นคือ ห้าคำถามสำคัญของตลาดหุ้นจีนในปี 2021 สำหรับผม คำตอบของหุ้นจีนในระยะสั้นคือ “ประคอง ไม่อุ้ม กินแบ่ง และคงดอกเบี้ย” ซึ่งเหมาะกับการลงทุนแบบกระจายตัว ส่วนอนาคตตลาดหุ้นจีนจะไปทางไหนนั้น แนวโน้ม “รายได้” ต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่คอยบอกเราครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน
บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)
