“วีซ่า” เผยคนไทยเกือบครึ่งตั้งใจเลี่ยงใช้เงินสดแม้โควิดจะคลี่คลาย พบกว่า 60% ลดใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

“วีซ่า” เผยคนไทยเกือบครึ่งตั้งใจเลี่ยงใช้เงินสดแม้โควิดจะคลี่คลาย พบกว่า 60% ลดใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤตการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความเป็นอยู่ รวมถึงด้านการงาน และการจับจ่ายของผู้คนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เป็นเวลากว่าหนึ่งปีนับแต่การเริ่มระบาดของโควิด-19 เราได้จับตามองว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตจะส่งผลอย่างไรต่อการดำรงชีวิตของเราในอนาคต ซึ่งวีซ่าเองก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาและนำสิ่งที่เราค้นพบมาแบ่งปันด้วยความเชื่อที่ว่าในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนเพื่อใช้ในการเตรียมตัวและวางแผนในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งการศึกษาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่น่าจะกลายเป็นนิวนอร์มัลหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ คือ การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในชีวิตประจำวัน 62% และการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนชุมนุมกันหนาแน่น 43%

นายสุริพงษ์กล่าวว่า นอกจากนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวไทยช้อปปิ้งผ่านช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งช่องทางที่ผู้ตอบแบบสำรวจใช้เป็นครั้งแรกมากที่สุดหลังการเกิดวิกฤตการณ์โควิด คือ การช้อปผ่านแอพพ์และเว็บไซต์ 65% การใช้บริการส่งตรงถึงบ้านหลังการสั่งซื้อทางโทรศัพท์กับร้านค้าในพื้นที่ 47% และการช้อปผ่านโซเชียลมีเดีย 44% สิ่งที่น่าสนใจ คือ กลุ่มผู้บริโภคชาวไทยได้ถูกปรับพฤติกรรมให้ต้องมีการคิดทบทวนเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายไปโดยปริยาย โดยผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ชี้ให้เห็นว่า หมวดการใช้จ่ายที่มีการลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ 63% การไปชมภาพยนตร์หรือร่วมงานกิจกรรมต่าง ๆ 60% การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋า นาฬิกา และเครื่องประดับ 60% การรับประทานอาหารในร้านอาหารแบบ Fine-dining 58% การใช้บริการเสริมสุขภาพและความงาม 57% และการซื้อเสื้อผ้าใหม่ 54%

นายสุริพงษ์กล่าวว่า นอกจากนี้ นอกเหนือไปจากเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายใน ต่างประเทศ และทริประยะสั้น ผลวิจัยยังพบว่าผู้บริโภคชาวไทยเตรียมที่จะกลับไปซื้อสินค้าจำพวกแก็ดเจ็ตต่าง ๆ 16% ของชำและของใช้ส่วนตัว 15% และการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและกิจกรรมเพื่อความบันเทิงนอกที่พักอาศัย 10% โดยน้อยกว่าหนึ่งในสิบวางแผนที่จะเปลี่ยนเครื่องใช้ในบ้านใหม่ 9% และซื้อสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย 8%

“เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นนี้ จะกลายมาเป็นพฤติกรรมถาวรมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว ซึ่งรวมถึงการเลือกใช้วิธีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส อย่างเช่น การแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตรหรือสมาร์ทโฟน ซึ่งมอบประสบการณ์ทางการชำระเงินที่ดีกว่า แถมยังปลอดภัยทั้งกับผู้ซื้อและผู้ขายอีกด้วย เราหวังว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว และในขณะเดียวกันวีซ่าเองได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจต่าง ๆ ของเราทั้งในและนอกวงการธุรกิจด้านการชำระเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่น่าจะใกล้เข้ามาก่อนเวลาที่ได้เราคาดการณ์ไว้” นายสุริพงษ์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image