2สาวคู่ซี้ ‘เกศ-แนท’ติดปีก Fire Tiger สู่ โรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ..ไม่ได้เสิร์ฟแค่ชานมไข่มุก รอโควิดสิ้นฤทธิ์…ทะยานไกลไปยุโรป

2สาวคู่ซี้ ‘เกศ-แนท’ติดปีก Fire Tiger สู่ โรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ

2สาวคู่ซี้ ‘เกศ-แนท’ติดปีก Fire Tiger
สู่ โรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ..ไม่ได้เสิร์ฟแค่ชานมไข่มุก
รอโควิดสิ้นฤทธิ์…ทะยานไกลไปยุโรป

ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ มีนัดกับ 2 สาว เพื่อนซี้รุ่นพี่รุ่นน้อง “เซนต์โยเซฟ” คุณเกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร และ คุณแนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ ผู้ปลุกปั้นชานมไข่มุกพรีเมียม “Fire Tiger” หรือเสือพ่นไฟ
นัดหมายที่ร้าน E BOMB (อีบอมบ์) สาขาเมกาบางนา แบรนด์ล่าสุดที่ 2 สาวปั้นต่อจากเสือพ่นไฟ ด้วยตั้งใจจะสัมภาษณ์ถึงธุรกิจล่าสุดนี้ ที่เปิดตัวมาพร้อมๆ กับโควิด

แนวคิดร้าน E BOMB เป็นร้านแซนด์วิชไข่ สไตล์ญี่ปุ่น สัญชาติไทย สาขาแรกเปิดในรูปคีออส บริการแค่ Grab and Go อยู่ข้างๆ ร้าน Fire Tiger by Seoulcial Club สยามสแควร์ ซอย 7 ส่วนสาขาเมกาบางนา เป็นสาขาสอง รูปแบบ Dine in สามารถรับประทานที่ร้านได้ ตกแต่งร้านด้วยสีเหลืองสดใส มีรูปไข่ดาวที่เห็นเด่นชัด บอก Character ของร้านได้ชัดเจน

คุณเกศ บอกว่า E BOMB มีแล้ว 3 สาขา สาขาล่าสุดที่มหานคร คิวบ์ ส่วนที่เลือกเปิดร้านอาหารแนวนี้ เพราะในพอร์ตธุรกิจที่ทำอยู่ มีร้านปิ้งย่าง แฟรนไชส์เกาหลี “nice two Meat u” และร้านเครื่องดื่ม ชานมไข่มุก Fire Tiger ยังไม่มีเมนูอาหารทานง่ายๆ แนว Grab and Go ซึ่งจากประสบการณ์เดินทางไปต่างประเทศ ในเวลาเร่งรีบผู้คนจะทานอาหารแนว Grab and Go จึงเป็นจุดเริ่มต้นทำร้าน E BOMB เริ่มด้วยเมนูแซนด์วิชไข่ ที่ทุกเพศ ทุกวัย ทานได้ง่ายๆ จึงเริ่มต้นทำร้านแบบคีออส ไม่มีที่นั่งทาน แต่ยังไม่ตอบโจทย์สังคมไทยที่จะเป็นแบบครอบครัว ต้องมีที่นั่งทานเป็นกลุ่ม จึงเปิดสาขาเมกาบางนาซึ่งมีขนาดพื้นที่รองรับแนวคิดนี้ได้ พร้อมทั้งเพิ่มเมนูเป็นมื้ออาหารหลัก โดยคอนเซ็ปต์ร้าน “all thing about egg” ทุกเมนูในร้านจะมีส่วนประกอบไข่ ด้วยเหตุผลไข่ทำอาหารได้หลากหลาย และทุกคนกินไข่

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ร้าน E BOMB ที่เพิ่งเปิดดำเนินการมาได้ปีกว่าๆ กำลังจะมีการปรับเปลี่ยนใหม่ คุณแนทและคุณเกศให้ข้อมูลว่าที่สาขาเมกาบางนามีแพลนจะปรับเปลี่ยนร้านให้มีขนาดเล็กลง เพราะลูกค้าหลักของร้านจะเป็นเด็กวัยรุ่นนิยมซื้อกลับมากกว่านั่งทานที่ร้าน และจะนำโรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟที่ต่อยอดมาจากชานมไข่มุก เสือพ่นไฟ มาแทนที่

“E BOMB เป็นแบรนด์น้องใหม่ เกิดมาในช่วงโควิด ยังรู้สึกว่าต้องโปรโมตอีกยาวไกล” คุณเกศ และคุณแนทบอกว่า ตอนนี้ขอโฟกัสแบรนด์ เสือพ่นไฟที่ขยายตัวใหญ่ขึ้นสู่ โรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ ด้วยเหตุผลคือ เป็นแบรนด์ที่คนรู้จักน่าจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ต่อยอดได้ ดีกว่าการสร้างแบรนด์ใหม่ “จากประสบการณ์ทำร้าน E BOMB ในช่วงโควิด ยอมรับว่ายากมากที่จะทำให้คนรู้จัก จึงเลือกใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี นำแบรนด์ที่แข็งแรงแล้วมาทำร้านในรูปแบบใหม่ สร้าง Experience ใหม่ๆ ให้ลูกค้า” คุณเกศเล่าถึงที่มาของโรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ สาขาแรกที่ไอคอน สยาม ส่วน nice two Meat u คุณเกศบอกว่าเป็นแบรนด์ที่รักเช่นกัน แต่มีข้อจำกัดคือเป็นแฟรนไชส์ ไม่ใช่แบรนด์ที่ปั้นเอง จึงยังคงขยายสาขาไปเรื่อยๆ มากกว่าการต่อยอด

โรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ ตกแต่งร้านแนวอาหารจีนสไตล์โมเดิร์น แต่มีเมนูอาหารเวียดนามและอาหารไทยรสจัดจ้านที่คุณเกศชื่นชอบ เสิร์ฟให้ด้วย

ตามแผนที่ยังไม่เจอการระบาดของโควิด รอบ 3 คุณเกศบอกว่าจะขยายตามโลเกชั่น เป็น Shop มีที่นั่งกินทุกสาขา ขึ้นอยู่กับโลเกชั่นนั้นๆ ว่าเสือฯจะมีหน้าตาแบบไหน จะเป็นแค่ Dessert Cafe’ หรือเป็น Full Restaurant แบบโรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ

ก่อนจะมาถามถึงแผนการขยายปีกเสือพ่นไฟ ขอพาผู้อ่านย้อนไปถึงจุดเริ่มต้น สองสาวเล่าด้วยใบหน้ายิ้มปนขำ เริ่มมาจากเสียงเรียกร้องของลูกค้า nice two Meat u จากช่วงแรกทางร้านไม่มีเครื่องดื่ม ไม่มีขนมหวาน เพราะต้องการเทิร์นโต๊ะให้เร็วที่สุด เนื่องจากมีลูกค้าต่อคิวรอยาวมาก เรียกว่า “คิวทะลัก”

จึงตัดสินใจเปิดทำเลติดกันในชื่อ Seoulcial Club เป็นร้านกาแฟที่คุณเกศเคยทำธุรกิจมาก่อนแต่ปิดตัวไป ครั้งนี้ได้ลงทุนซื้อเครื่องชงกาแฟที่ดีสุดในราคาที่แพงมาก แต่สุดท้ายร้านก็ทำท่าไม่รอด ทั้งๆ ที่ทำเลดีมาก นั่นเพราะการตกแต่งร้านที่ดูไม่รู้ว่าเป็นร้านกาแฟ! ด้วยคุณเกศและคุณแนทต้องการให้ร้านล้อกับ nice two Meat u
จึงตกแต่งแนวเกาหลีที่ ณ ขณะนั้นนิยมตกแต่งแนวฟรุ้งฟริ้ง ทั้งร้านจัดเต็มด้วยต้นไม้สีชมพู สุดท้ายกลายเป็นร้านที่มีแต่คนมาถ่ายรูปเพื่อโพสต์ภาพ จึงมานั่งทบทวนกันใหม่ และมาตกผลึกว่าจะทำเครื่องดื่มที่ทานได้ตลอด ก็มาจบที่ ชานมไข่มุก

“ตอนทำร้าน Seoulcial Club เห็นแววจะไม่รอด ทั้งที่ลองมาหลายเมนูมาก แต่ทุกครั้งเรียกความฮือฮา แค่มาถ่ายรูป ครั้งนี้เรียกว่าเป็นความหวังสุดท้ายของร้าน ตัดสินใจใส่แต่ความชอบ ยำเข้ามาให้หมด แค่ใส่ไข่มุกไม่พอ เป็นคนชอบกินหลายเทคเจอร์ ทั้งนิ่ม หนึบ กรอบ ก็ใส่เข้าไป และที่ขาดไม่ได้คือ Black Sugar เกศเป็นคนชลบุรี ทุกครั้งไปเช็งเม้ง จะมีเมนูประจำบ้านคือ กล้วยจิ้มน้ำตาลแดงเชื่อม เป็นเมนูที่กินมาตั้งแต่เด็ก จึงเลือกใส่น้ำตาลแดงแทนน้ำเชื่อม เพราะจะได้ความหอมและอร่อยกว่า เพิ่มกิมมิคโดยการพ่นไฟ” คุณเกศเล่า คุณแนทเสริม “กว่าจะได้แก้วแรกของเสือพ่นไฟที่ลงตัวเป็นของอร่อยตอบโจทย์ลูกค้า ลองหลายอย่างมาก เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เป็นคนไม่ยอมแพ้ นอนดึก ตี 2 ตี 3 ทุกคืนประมาณ 3 เดือน เพื่อคิดเมนูออกมา แค่อยากลองให้ถึงที่สุดก่อน”

สามารถเคลมได้เลยว่าเป็นเจ้าแรกของโลกที่เป็นชานมพ่นไฟหลายเทคเจอร์ คุณเกศสรุป

ส่วนชื่อแบรนด์ ใช้ เสือ คุณเกศบอกว่า เป็นสายมู มีลิสต์สัตว์มงคล อย่าง มังกร ปีเกิดตัวเอง หรือกระต่าย ปีเกิดคุณแนท แต่สุดท้ายมาจบที่เสือ เพราะมองว่าทำแบรนดิ้งได้ “การทำแบรนดิ้ง เสือ ทำง่ายสุดในการต่อยอดทำแฟชั่น หรืออะไรต่างๆ ทุกวันนี้ ทำ Accessories ขายแล้ว เช่น ถุงผ้า หมอน เป็นแบรนด์ Fire Tiger ลูกค้าชอบมาก เป็น Souvenir ทางร้าน” สองสาวย้ำว่า ทุกอย่างมีที่มา แต่ทุกคนอาจจะไม่ได้รับรู้ Story ถึงสิ่งที่ตั้งใจทำขึ้นมาตั้งแต่แรก

จนกลายเป็นดราม่า เรื่อง เสือ อยู่พักใหญ่ๆ หลังเสือพ่นไฟ สัญชาติไทยเป็นแบรนด์โด่งดัง ที่บังเอิญชื่อไปเหมือนชาไข่มุกของไต้หวัน ซึ่งคุณเกศบอกว่า ตั้งใจสร้างแบรนด์ของตัวเองขนาดนี้ ไม่มีทางคิดสั้น ไม่ก๊อบปี้ของใคร แค่บังเอิญ ใช้ เสือ เหมือนกัน แต่รายละเอียดต่างๆ ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ที่สำคัญ เสือพ่นไฟ มีการจดลิขสิทธิ์แบรนด์ โลโก้ ประติมากรรมร้านไว้หมดแล้ว รวมถึงตลาดในต่างประเทศที่เริ่มไปทำตลาดก็จดลิขสิทธิ์ไว้เช่นกัน

คุณเกศและคุณแนทเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่วัยเลขสามที่ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่สองสาวกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ยังต้องพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะคุณเกศเล่าให้ฟังอย่างเปิดใจว่าเคยทำธุรกิจมาแล้ว 8 ธุรกิจ เจอประสบการณ์เจ๊ง 5 ธุรกิจ พอไปได้แต่ไม่ประสบความสำเร็จ 3 ธุรกิจ แต่ไม่คิดเสียใจ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก “พอมาทำธุรกิจที่ 9 (nice two Meat u) ทำให้รู้ว่าต้องทำยังไงไม่ย้อนกลับสู่ความล้มเหลวอีก 8 ธุรกิจสอนให้รู้ว่า การทำธุรกิจที่ไม่รู้ลึกรู้จริง อย่าทำ โดยเฉพาะถ้าไม่มี Passion ความรักที่จะทำ คิดแค่เรื่องเงิน ทำธุรกิจตามเทรนด์โดยไม่รู้อะไรเลย ก็ล้มเหลวได้ง่าย”

ธุรกิจที่ 9 คุณเกศจึงโฟกัสในสิ่งที่ชำนาญและรัก เพราะประสบการณ์ก่อนหน้าสอนให้รู้ว่ายืมจมูกใครดมไม่ได้ การทำธุรกิจโดยจ้างคนอื่นทำแทน ไม่เหมือนเจ้าของทำเอง จึงเลือกทำร้านอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดและรัก ตั้งใจเรียน Gastronomy หรือการทำอาหาร ระดับปริญญาโท จาก Boston University สหรัฐอเมริกา แต่มาสะดุดช่วงหนึ่งจนหนีสิ่งที่รักมาโดยตลอดจาก painpoint ในอดีตที่มั่นใจตัวเองมากได้รับเลือกเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยร่วมแข่งขันการทำอาหารเวทีระดับโลก มีโปรไฟล์การศึกษาสูงกว่าคนอื่นๆ ในทีมไทยแลนด์ แต่สุดท้ายกลายเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เหรียญใดๆ ติดมือกลับมา จนตัดสินใจแขวนกระทะ-ตะหลิว ตั้งใจไม่ทำอาหารอีกเลย

คุณเกศเรียกความเชื่อมั่นในตัวอีกครั้ง หลังจากร้างครัวมานาน 5 ปี ชวนรุ่นน้องคือคุณแนทที่เป็นสายกินเหมือนกัน ทำธุรกิจที่ 9 แต่เป็นธุรกิจแรกของคุณแนท

“รวบรวมกำลังใจ ฮึบขึ้นมาใหม่ ขออีกรอบ จนทุกวันนี้เข้าครัวตลอด ทุกเมนูของโรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ และอีบอมบ์ รวมถึง nice two Meat u เกศทำสูตรเองทั้งหมด เรา 2 คน(แนท) แบ่งหน้าที่ชัดเจน เรื่องอาหารคือเกศ เรื่องตกแต่งร้าน แบรนดิ้ง มาร์เก็ตติ้ง เป็นหน้าที่แนท ซึ่งจบคณะสถาปัตยกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอีกใบด้านบิซิเนส แมเนจเมนท์ จาก Imperial College London จะมีความเข้าใจดี”

ถามถึงอนาคตของธุรกิจ คุณแนทบอกว่า มีแพลนจะมีแบรนด์ใหม่ ร้านใหม่ๆ ขึ้นมาอีก แต่อย่างที่บอกขอโฟกัสที่เสือพ่นไฟก่อน เริ่มจากเครื่องดื่ม วางตำแหน่งเป็นชานมแบรนด์พรีเมียม เพื่อหนีตลาดชานมไข่มุกที่ผุดขึ้นดาษดื่น มีการเพิ่มเมนูใหม่ๆ จากเดิมจะเข้มข้นมากๆ เพราะคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมคือเหมือนการกินขนมหวาน แต่เมื่อเกิดโควิด-19 พฤติกรรมคนเปลี่ยนไป สนใจสุขภาพมากขึ้น จึงปรับสูตรให้เบาลง เป็นชาใส ชาผลไม้ ชานมสูตร Light พร้อมทั้งขยายสาขาไปนอกเมืองมากขึ้น “เป็นเราไปหาลูกค้า ไม่ใช่ลูกค้ามาหาเราอีกต่อไปแล้ว นับจากปีนี้จะไม่เพิ่มสาขาในกรุง แต่จะขยายสาขากระจายไปตามเขตเมืองต่างๆ รอบกรุงเทพฯ เพราะเชื่อว่าการดื่ม-กินชานม จะเริ่มเป็น culture เหมือนกาแฟ จึงไม่เน้นขยายแบบ Grab and Go ที่รู้สึกว่ามีมากเกินไปแล้ว ต่อไปจะเห็นสังคมการดื่มชานม ไม่ใช่มีแค่สังคมการดื่มกาแฟเท่านั้น”

สองสาวบอกว่าค่อนข้างภูมิใจในแบรนด์ เสือพ่นไฟ เพราะถือเป็นแบรนด์คนไทยที่ได้ขยายไปต่างประเทศ ปัจจุบันมีใน 4 ประเทศ ที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกัมพูชา และกำลังจะเปิดสาขาล่าสุดที่อังกฤษ ที่
ไชน่าทาวน์ แต่เกิดการระบาดของโควิดทั่วโลก จึงยังเซ็นสัญญาไม่ได้ แต่ยังคงติดต่อกันอยู่ ยัง Keep Contact กัน “เป้าหมายของเราคืออยากนำแบรนด์คนไทยไปให้คนต่างชาติได้รู้จัก”

คำถามสุดท้าย ถามเผื่อคนรุ่นใหม่ที่อยากทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร คุณเกศบอกในฐานะคนที่ผ่านธุรกิจมาทั้งประสบความสำเร็จและขาดทุนว่า “สิ่งสำคัญสุดคือต้องรู้ลึก รู้จริง รักในสิ่งที่ทำ และต้องทุ่มเท-ตั้งใจให้ที่สุด หากทำแล้วพลาด ต้องเป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้เสมอ”

เกษมณี นันทรัตนพงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image