กสทช.รับยากไกล่เกลี่ยผู้เสียหายบิลช็อก4แสนเหตุเรื่องอยู่ในชั้นศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 2 กันยายน ทางนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งาติ(กสทช.) ได้เชิญผู้เสียหายจากกรณีที่ถูกบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ในเครือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดนแจ้งเก็บค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ดีแทค จำนวนกว่า 400,000 บาททั้งที่ผู้เสียหายทำงานอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ และตัวแทนจากทางดีแทคมาหารือร่วมกันใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ทำให้ผู้เสียหาย คือ นางสาวจงจิตร อยู่ไพร อายุ 31 ปีแถลงข่าวร้องไห้ทั้งน้ำตา

นายฐากร กล่าวภายหลังการหารือว่า กสทช. พยายามรับฟังและให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อที่จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากในวันที่ 5 กันยายนนี้ ศาลแพ่ง จะนัดไต่สวน อย่างไรก็ตามจากการสอบถามผู้เสียหายในเบื้องต้น ทางผู้เสียหายยืนยันว่าไม่ได้เปิดซิมการ์ดและไปใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติ(โรมมิ่ง)ที่ฟิลิปปินส์แต่อย่างใด ประกอบกับการโดนเรียกเก็บค่าเสียหายในลักษณะเดียวกันยังไม่ได้มีเพียงแต่ ดีแทค เท่านั้น แต่ยังมีผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่นด้วย

“จากการพิจารณาพบว่าผู้เสียหายรายนี้ถูกเรียกเก็บค่าเสียหายลักษณะนี้รวม 8 เลขหมาย ประกอบด้วย ดีแทค จำนวน 2 เลขหมาย, กลุ่มบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ เอไอเอส จำนวน 2 เลขหมาย และ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) จำนวน 4 เลขหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้เสียหายมีการเปิดซิมในช่วงไล่เลี่ยกันและในสถานที่ใกล้เคียงกัน โดยผู้ประกอบการรายอื่นไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ในส่วนของดีแทคก็ยังยืนยันว่ามีเอกสารหลักฐานที่แน่ชัดของตนเอง และอยากให้ไปคุยกันต่อในชั้นศาล”นายฐากรกล่าว

นายฐากร กล่าวว่า อยากฝากประชาชนว่าหากมีปัญหาใดก็ตามในด้านโทรคมนาคม หรือภารกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลของ กสทช. อยากให้ส่งกระบวนการร้องเรียนมาที่ สำนักงาน กสทช. หมายเลข 1200 ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากหากเรื่องไปถึงชั้นศาลจะทำให้ กสทช. ทำงานได้ยากขึ้น ซึ่งในข้อพิพาทต่างๆ กสทช. จะพยายามให้จบที่ กสทช. โดยไม่ต้องไปถึงชั้นศาล

น.ส.จงจิตร อยู่ไพร อายุ 31 ปี ผู้เสียหาย กล่าวว่าขอยืนยันว่าไม่ได้เปิดใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของดีแทคทั้ง 2 เลขหมาย รวมถึงผู้ให้บริการรายอื่นอีก 6 เลขหมาย เนื่องจากมีเอกสารหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 15 มิถุนายน 2557 ที่มียอดการใช้งานมากสุด โดยเป็นการโทรโรมมิ่งจากฟิลิปปินส์มายังไทย แต่ในเวลานั้นตนพักรักษาอาการป่วยปอดอักเสบ อยู่ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งมีเอกสารใบรับรองแพทย์แสดงไว้อย่างชัดเจน ซึ่งในรายของเอไอเอส ที่มีการเรียกเก็บค่าบริการจำนวนรวม 13,799 บาท ทางเอไอเอสได้แจ้งแล้วว่ามีการตรวจสอบเอกสารแล้วพบว่าลายมือชื่อที่ใช้ลงนามเปิดเลขหมายกับลายมือตนไม่เหมือนกันจึงยกเลิกการเรียกเก็บค่าใช้บริการ ส่วนทาง ทรู ที่มียอดใช้งานราว 11,000 บาท แจ้งว่ากำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบเอกสาร

ADVERTISMENT

น.ส.จงจิตร กล่าวว่า จากการที่ได้มีการคุยกับทางดีแทค ในเบื้องต้น ทางดีแทคได้แจ้งมาว่าเคยได้มีการติดต่อไปหาเรื่องการใช้งานที่ฟิลิปปินส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ในข้อเท็จจริงพบว่า ดีแทคยังไม่มีใครเคยติดต่อมาหาตนแต่อย่างใด อีกทั้งเลขหมายในประวัติการโทรยังพบว่าไม่ตรงกับญาติหรือเพื่อนแต่อย่างใด ฉะนั้นส่วนตัวจึงเชื่อว่าเหตุที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากการที่ผู้ไม่หวังดีนำเอกสารหลักฐานของตนไปเปิดหมายเลขใช้งาน ทั้งนี้เบื้องต้นประเมินว่าสำเนาบัตรประชาชนน่าถูกนำไปใช้จากการที่ก่อนหน้าไปทำงานที่ฟิลิปปินส์เคยทำงานฟรีแลนซ์มาก่อน จึงต้องใช้เอกสารในการสมัครงาน และรับเงินจำนวนมาก แม้ที่ผ่านมาจะมีการลงนามกำกับไว้แล้วก็ตาม

นายนฤพนธ์ รัตนสมาหาร ผู้อำนวยการอาวุโส สายรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า กรณีที่ลูกค้าอ้างว่าไม่เคยจดทะเบียนเปิดเบอร์กับ ดีแทค นั้น บริษัทฯ พบว่ามีหลักฐานยืนยันว่าลูกค้ามาจดทะเบียนจริง ทั้ง 2 เลขหมาย คือ 094-994-5529 และ 094-994-5592 โดยใช้หลักฐานเป็นบัตรประชาชนในการจดทะเบียน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ที่สำนักงานดีแทค เดอะมอลล์ บางกะปิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ดีแทคได้ทำการจดทะเบียนถูกต้องตามกระบวนการขั้นตอนของบริษัท และขอยืนยันว่าผู้มาเปิดใช้บริการได้นำบัตรประชาชนตัวจริงมายื่นแสดง สำหรับค่าใช้จ่ายที่ถูกเรียกเก็บตามที่กล่าวอ้างนั้น พบว่าเป็นค่าใช้จ่ายจากการใช้งานบริการโรมมิ่ง ในประเทศฟิลิปปินส์ และติดต่อกลับมาประเทศไทย โดยงานโรมมิ่งนั้น บริษัทฯ ตรวจพบในชั้นแรกว่ามีค่าบริการที่สูงเกิดขึ้นจากการใช้งานทั้ง 2 เลขหมายประมาณ 40,000 บาท บริษัทฯ จึงได้ติดต่อแจ้งเตือนไปยังลูกค้าเพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับอัตราค่าบริการ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนปกติ แต่ลูกค้าก็รับสายและยืนยันที่จะขอใช้บริการโรมมิ่งต่อไป โดยไม่ต้องการให้บริษัทฯ ทำการระงับบริการ

“ส่วนตัวยอมรับว่ากรณีนี้แปลกจริง เนื่องจากคนแค่คนเดียวไม่น่าจะเปิดเบอร์พร้อมกันหลายค่ายหลายเบอร์ เพราะไม่สามารถใช้งานพร้อมกันได้ จึงเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะเป็นการกระทำของมิจฉาชีพ แต่การที่ดีแทคเป็นองค์กรขนาดใหญ่ และเป็นบริษัทมหาชน จึงจำต้องฟ้องร้องตามกระบวนการ ซึ่งการไปสืบข้อเท็จจริงในชั้นศาลก็น่าจะเป็นช่องทางที่ให้ความเป็นธรรมได้ดีที่สุดและจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เสียหายเองในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วนการที่ผู้เสียหายกังวลเรื่องการเดินทางาให้ปากคำหลายครั้ง เห็นว่าปัจจุบันศาลอนุญาตให้สามารถให้ปากคำผ่านวีดิโอคอลสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางหรือมีเหตุจำเป็นได้แล้ว” นายนฤพนธ์ กล่าว