“จรูญเภสัช” เล็งต่อยอดวิตามินดีโดสสูงลดความรุนแรงเชื้อโควิด
นางสาวณัฎฐ์ธิดา เกียรติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จรูญเภสัช จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็น’บริษัทผลิตยาสัญชาติไทยอยู่มานานกว่า 40 ปี โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการสร้างรากฐานธุรกิจให้เติบโต ด้วยการเน้นตลาด B2B จำหน่ายยาให้โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยาในประเทศ ทว่าแม้รากฐานจะแข็งแรงสักเท่าไร แต่ทุกสิ่งก็มีความเสี่ยงพังทลายได้ตามกาลเวลา โดยหลังจากที่ได้รับช่วงบริหารก็ได้มีการปรับปรุงรากฐานใหม่ ให้ทุกองค์ประกอบมั่นคงกว่าเดิมเพราะที่ผ่านมาได้มีการเก็บ DATA ในตลาด B2B มาโดยตลอด เพราะ DATA เป็นเหมือนฟันเฟืองที่เชื่อมโยงรากฐานของบริษัทนี้ให้แข็งแรงขึ้น คอยหมุนให้ระบบภายในไหลลื่น และทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่ออย่างไม่ติดขัด แม้ต้องเจอกับภาวะวิกฤตที่ไม่คาดคิดก็ตาม
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นบนตลาด B2B คือความสำเร็จที่ยอมรับกันในหมู่แพทย์และเภสัชกร แต่หากจะลงมือยกระดับยาไทยจริงจัง คงไม่มีบททดสอบไหนดีไปกว่าการบุกตลาดผู้ใช้โดยตรงกับ B2C รวมไปถึงการตอบรับความท้าทายในตลาด CLMV เพื่อเปิดลู่ทางเติบโตครั้งใหม่ของจรูญเภสัชขึ้น คนส่วนใหญ่มีความเชื่อที่ว่ายานอกต้องดีกว่ายาไทย แต่เราก็มีความมั่นใจในฐานะผู้ผลิตยา ว่ายาของจรูญเภสัชมีมาตรฐานและคุณภาพไม่ต่างจากยานอก หนำซ้ำเม็ดยาต่างประเทศส่วนใหญ่มักมีราคาแพงสวนทางกับค่าครองชีพของคนไทย การเข้าหาตลาด B2C หลักๆ มีเหตุผล 2 ข้อ หนึ่งคือเราอยากเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงยารักษาโรคในราคาที่สมเหตุสมผล สองคือเราอยากให้ผู้บริโภครู้จักยาของจรูญเภสัชมากขึ้น เพราะหากตัวผู้ใช้จริงให้ความเชื่อมั่นกับตัวยาแล้ว นั่นหมายถึงพวกเขาจะสามารถเติมยาที่ใช้ประจำอยู่ได้ โดยไม่ต้องเดินทางเข้า-ออก โรงพยาบาลบ่อยๆ”นางสาวณัฎฐ์ธิดากล่าว
นางสาวณัฎฐ์ธิดา กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราใช้เวลาร่วมๆ 3 ปี ตั้งแต่ช่วงปี 60-62 ในการลุยตลาด CLMV เพราะจุดแข็งที่เราจะได้จากคู่ค้าคือความรู้ความเข้าใจในตัว local consumer แต่ในเรื่องของ DATA นับเป็นอีกกรณีหนึ่ง หลายบริษัทในตลาด CLMV ยังมีปัญหาด้านเทคโนโลยีอยู่มาก การจัดการข้อมูลถือเป็นเรื่องแปลกใหม่และต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมที่คาดคะเนไม่ได้ จึงต้องยอมรับว่ากลยุทธ์ของการเข้าสู่ CLMV ในระยะแรก เราไม่ได้มั่งเป้าที่การสร้าง DATA แต่เป็นเรื่องการปรับตัวเข้าหาคู่ค้าเป็นสำคัญ
นางสาวณัฎฐ์ธิดา กล่าวว่า สิ่งที่บริษัทจะเดินหน้าต่อไปในช่วงวิกฤตการแพร่ระลาดของโควิด-19 คือ การลดความรุนแรงของวิกฤตโควิด-19 ลง ด้วยการใช้นวัตกรรมที่มีในมือ เป็นตัวแก้ปัญหา เพราะในระหว่างที่คนไทยกำลังรอฉีดวัคซีนโควิด-19 ทุกๆ วันมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งวัคซีนที่รอยังไม่สามารถรับรองประสิทธิภาพหรือผลข้างเคียงได้ ยารักษาโรคก็คงเป็นอนาคตที่ไกลยิ่งกว่า สิ่งที่เราทำได้ ณ ตอนนี้เลย ก็มีแต่ใช้ของที่มีในมือเพื่อรักษาชีวิตคนให้มากที่สุด ซึ่งจรูญเภสัชมองถึงการใช้วิตามินดีโดสสูง มาใช้รักษาอาการโควิด ผลการศึกษานี้ค่อนข้างออกมาเป็นที่น่าพอใจในหลายประเทศ โดยปัจจุบันผลการใช้ ‘วิตามินดีโดสสูง’ ในการรักษาโควิด-19 มีผลงานวิจัยรองรับประสิทธิภาพมากมาย อาทิ ผู้ป่วยที่มีการใช้วิตามินดีโดสสูง มีอัตราการเข้าห้อง ICU เพียง 2% ต่างจากคนที่มีวิตามินดีไม่เพียงพอ ที่มีอัตราการเข้าห้อง ICU ถึง 50% หรือกรณีการเสียชีวิต ผู้ป่วยที่มีวิตามินดีเพียงพอ จะมี blood clotting หรือเลือดแข็งตัวในเนื้อเยื่อปอดน้อยกว่าคนที่มีวิตามินดีไม่เพียงพอ ต่างกันถึง 9 เท่า และในประเทศอินเดีย พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับวิตามินดีโดสสูง มีอัตราหายป่วยมากถึง 60% ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีวิตามินดีไม่พอ มีอัตราหายป่วยเพียง 20% เท่านั้น