บิ๊กแสนสิริ ย้ำ ธุรกิจไม่ควรยุ่งการวางนโยบายรัฐ ขอแสดงความเห็น ใต้จุดหมายเดียวกัน หวังมีคนฟัง
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (
ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีเรื่องราวน่าสนใจระหว่าง ภาคธุรกิจ กับ ภาคการเมือง ในสหรัฐอเมริกาที่ผมอยากพูดถึง นั่นก็คือเรื่องของการที่บริษัทกว่า 100 แห่ง (ชื่อดังๆ อย่าง Starbucks, Apple, Amazon และ Ford) ร่วมลงนามจดหมายไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่จำกัดสิทธิ์การออกเสียงของประชาชน โดยเฉพาะคนกลุ่มน้อย ที่เริ่มบังคับใช้ในบางรัฐอย่างจอร์เจีย และกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาในอีกหลายรัฐ ซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่เราเห็นภาคธุรกิจออกมาแสดงจุดยืนทางสังคม การเมือง และความเท่าเทียมอย่างชัดเจนถึงขนาดที่พรรครีพับลิกันต้องออกมาโจมตีกลับบอกว่าธุรกิจไม่ควรยุ่งกับการเมือง
ต้องบอกว่าสหรัฐอเมริกาคือแม่แบบของระบบทุนนิยมที่มีการพยายามสร้างสมดุลกันเรื่อยมาระหว่าง “เสียงของภาคธุรกิจ” และ “นโยบายเศรษฐกิจ สังคม (รวมทั้งการเมือง)” วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ผ่านมาหลายยุคตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองที่นักธุรกิจใช้การขยายตัวภาคอุตสาหกรรมสร้างบารมีผ่านกิจการของตน รวมถึงคลุกวงในกับภาครัฐเพื่อสร้างงาน สร้างชีวิตที่ดีให้คนในยุคนั้น เป็นเสมือนผู้นำมาซึ่งความเจริญของสังคมเศรษฐกิจให้อเมริกาในยุคหลังสงคราม ในขณะที่ยุค 80’s และ 90’s เป็นยุคของการสร้างผลกำไรสูงสุดโดยที่บรรดา CEO ต่างๆ ใช้ล็อบบี้ยิสต์ (lobbyist) ในการสร้างแรงกดดันต่อนโยบายของรัฐผ่านแคมเปญและการอัดเงินสนับสนุนมากมายที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจของตน
นั่นคืออดีตที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจโลกเติบโต จะเห็นว่าหน้าที่ของภาคธุรกิจ (และ CEO) คือตอบแทนผู้ถือหุ้นด้วยการทำสินค้าบริการที่แข่งขันได้ดีที่สุด ทำกำไรสูงสุด แต่ในยุคปัจจุบันมันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วครับ ยุคนี้กลายเป็นยุคที่ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” จากธุรกรรมของภาคธุรกิจไม่ได้มีแค่ผู้ถือหุ้น แต่มีขาอื่นที่เราต้องให้ความสำคัญด้วย ประกอบกับตอนนี้เป็นสังคมที่เราทุกคนให้ความสำคัญกับปัญหาในด้านต่างๆ ไม่ว่าสุขภาพ การศึกษา สภาพแวดล้อม ความเท่าเทียม ฯลฯ การที่ภาคธุรกิจจะอยู่เฉยๆ โดยไม่แคร์ โดยไม่แสดงจุดยืน ไม่มีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ผมไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคและสังคมส่วนรวมมองหาหรือเปล่า
แต่ก็นะครับ มักมีคำถามเกิดขึ้นว่าแล้วการที่นักธุรกิจหรือภาคธุรกิจออกมาพูดหรือออกมามีบทบาทในการผลักดันวาระทางสังคมต่างๆ นั่นก็เพราะต้องการให้ผู้บริโภคปลื้มและขายของได้อีกน่ะสิ ก็เป็นไปได้แต่ผมอยากชวนให้มองอย่างนี้ ผู้บริโภคปัจจุบันไม่ได้โง่ เค้าเห็นหมดแหละครับระหว่าง คำพูด กับ การกระทำ ลมปากอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าคุณจะเอาชนะใจผู้บริโภคได้นะครับ ต้องทำด้วย จะทำเล็กทำใหญ่ว่ากันอีกที แต่ต้องทำก่อน
นอกจากต้องให้ความสำคัญกับมุมมองของผู้บริโภคแล้ว แรงกดดันในปัญหาต่างๆ ที่โลกเผชิญอยู่ยังทำให้แนวคิดของกองทุน ธนาคาร หรือแหล่งเงินทุนให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้กับโลกใบนี้ หรือมีความยั่งยืนในระดับหนึ่ง ดังนั้นภาคธุรกิจใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงในการถูกลดระดับความน่าสนใจลงไปด้วย
ยิ่งกว่านั้นต้องเข้าใจนะครับว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เค้าเก่งๆ หลายคนมีความเข้าใจเรื่องปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่คือความจริงของชีวิต ดังนั้นองค์กรใดที่มีความจริงใจในการสร้างความยั่งยืนในเรื่องต่างๆ และไม่เป็นภาระต่อสภาพแวดล้อม ฯลฯ จะเป็นองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากเข้าไปช่วยพัฒนา สร้างศักยภาพให้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างเสริมความยั่งยืนให้กับโลกนี้ได้ดีขึ้น
ในมุมมองของผมชัดเจนครับว่าสุดท้ายแล้วบทบาทในการกำหนดนโยบาย มาตรการ กฎหมาย ยังเป็นหน้าที่ของรัฐ ธุรกิจไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรง แต่หน้าที่สำคัญของภาคธุรกิจก็คือการแสดงจุดยืนและความเห็น และช่วยกระตุ้นให้ทุกฝ่ายได้หยุดคิด พิจารณา ถึงทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นไปได้ โดยต้องเอาจุดมุ่งหมายเดียวกันเป็นตัวตั้งให้ได้เสียก่อน และก็หวังว่าเสียงที่เราพูดออกไปจะมีคนฟังครับ