‘วีแอล’ เห็นสัญญาณเรือขนส่งปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์วิ่งไกล มั่นใจปั้นรายได้ 64 โต 15-20%
นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ VL ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ทางทะเลทั้งในประเทศและระดับภูมิภาคเอเชีย ให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเป็นหลัก เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/2564 อุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือโดยเฉพาะการขนส่งในประเทศมีสัญญาณฟื้นตัว โดยกลุ่มลูกค้ากลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งหลังจากหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 1 ที่ผ่านมารวมถึงช่วงเดือนเมษายน เรือใหม่ VL.23 ขนาด 2,800 เดทเวทตัน (DTW) ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสามารถเริ่มให้บริการส่งปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ทางทะเลในเชิงพาณิชย์ได้ ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯ จะมีกองเรือทั้งหมด 13 ลำ โดยมีน้ำหนักบรรทุกเรือรวม 41,893 DWT สนับสนุนศักยภาพรองรับการขนส่งน้ำมันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมีความต้องการใช้บริการกับบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปดีลดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 2 นี้ และหากการเจรจาดังกล่าวสำเร็จได้ จะส่งผลให้บริษัทฯ มีความต้องการ (ดีมานด์) ในการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งจะมีการขยายเส้นทางการเดินเรือใหม่ ไปยังประเทศจีน และอินเดีย หนุนรายได้โตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15-20%
“ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 5.6 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 29.5 และรายได้รวม 142 ล้านบาท ลดลง 40.2 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเที่ยวการขนส่งลดลง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะรายได้จากการขนส่งนำมันในประเทศลดลง จากกลุ่มค้ากลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเลียม ปรับกลยุทธ์หยุดซ่อมบำรุงในบางส่วนทำให้การขนส่งลดลงไปด้วย แม้สัดส่วนรายได้จะปรับตัวลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงรักษาการทำกำไรไว้ได้ตามปกติ” นางชุติภา กล่าว
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2564 จะเป็นไตรมาสสำคัญ เพราะเรือทั้งหมด 12 ลำ และเรือสั่งต่อใหม่ 1 ลำจากเกาหลีใต้ขนาด 2,800 เดทเวทตัน จะเริ่มให้บริการ ดังนั้นกำไรไตรมาส 2 นี้เชื่อว่าจะโดดเด่นมาก เมื่อเทียบทั้งรายไตรมาสและช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จึงปรับประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้นเล็กน้อย 5% เป็น 98 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563
