‘เอกชนหัวหิน’ ปักธงเปิดรับต่างชาติ 1 ต.ค. นี้ คาดไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวมา 1 แสนคน เงินสะพัด 1.2 พันลบ.

‘เอกชนหัวหิน’ ปักธงเปิดรับต่างชาติ 1 ต.ค. นี้ คาดไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวมา 1 แสนคน เงินสะพัด 1.2 พันลบ.

นายกรด โรจนเสถียร คณะกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยว่า จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเห็นชอบผ่อนคลายอีก 4 พื้นที่ ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี กรุงเทพฯ และบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนต้านไวรัสครบ 2 โดสแล้ว และมีใบรับรองการฉีดวัคซีน สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป รวมกับอีก 6 พื้นที่ที่รัฐบาลประกาศตามแผนการเปิดประเทศ ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี (สมุย-พะงัน-เต่า) ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ รวมเป็น 10 พื้นที่นำร่องเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่และภาพรวมของประเทศ โดยภาคเอกชนหัวหินได้จัดทำโครงการหัวหินรีชาร์จขึ้น เพื่อเตรียมนำร่องเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามแผนที่เพิ่มประจวบคีรีขันธ์เข้ามา โดยจำนวนวัคซีนที่ต้องการฉีดให้คนในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน จำนวนทั้งหมด 353,498 โดส สำหรับประชากร 176,749 คน ซึ่งคาดหวังว่าจะได้รับวัคซีนครบทั้งหมดภายในเดือนกันยายนี้ โดยในจำนวนทั้งหมด แบ่งเป็นบุคลากรและแรงงานภาคท่องเที่ยวบริการทั้งหมดในหัวหิน จำนวน 89,880 คน ซึ่งต้องได้รับวัคซีนครบ 100% เพราะถือเป็นด่านหน้าในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“การเปิดพื้นที่นำร่อง 10 พื้นที่ในไตรมาส 4 นี้ เชื่อว่าจะช่วยทำให้ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มกว่า 3.5 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยว 2.98 แสนล้านบาท ถือเป็นความหวังของภาคการท่องเที่ยวไทย ในช่วงที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังสร้างแคมเปญการเปิดประเทศเช่นเดียวกับไทย ทำให้การเพิ่มพื้นที่นำร่องจะช่วยสนับสนุนความพร้อมและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น โดยคาดว่าตลอดไตรมาส 4 นี้ หัวหินจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1 แสนคน สร้างรายได้การท่องเที่ยว 1,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเข้ามาผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางต่อด้วยรถยนต์ตรงมาหัวหินทันที แบบไม่แวะจอดระหว่างทาง เพื่อดำเนินตามแนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด” นายกรด กล่าว

นายกรด กล่าวว่า ในส่วนกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดเป็นคลัสเตอร์โรงงานสับปะรดกระป๋องใน อ.หัวหิน หลังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในกลุ่มลูกจ้างชาวเมียนมา จึงมีการปิดโรงงานและตั้งเป็นสถานที่กักตัวของลูกจ้าง ขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี จากเดิมพบว่ามียอดผู้ติดเชื้อ 114 รายเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่วันที่ 12 พฤษคม พบว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือแค่หลักหน่วย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของระบบสาธารณสุขของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าสามารถควบคุมการกระจายเชื้อได้ดี และสร้างความมั่นใจว่าพื้นที่หัวหินพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติวันที่ 1 ตุลาคมนี้แน่นอน โดยในระยะต่อไปโครงการหัวหินรีชาร์จเตรียมประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลกถึงความพร้อมของหัวหินเพิ่มเติม สำหรับภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวในเทศบาลเมืองหัวหิน ปัจจุบันมีโรงแรมที่ขึ้นทะเบียน จำนวน 182 แห่ง มีจำนวนพนักงานโรงแรมทั้งหมด 22,350 คน โดยในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังหัวหินทั้งตลาดคนไทยและตลาดต่างชาติ ก่อนเกิดการระบาดโควิด พบว่ามีนักท่องเที่ยวไทยเข้ามา 5,589,060 คน สร้างรายได้ 25,768 ล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมี 1,649,963 คน สร้างรายได้ 17,392 ล้านบาท รวมสร้างรายได้การท่องเที่ยวแก่หัวหินที่ 43,161 ล้านบาท

นายกรด กล่าวว่า นอกจากนี้ หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบปรับแนวทางการฉีดวัคซีนต้านไวรัสให้กับประชาชนเร็วขึ้น ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.กลุ่มที่มีการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหรือไลน์แอด “หมอพร้อม” 2.การจัดขอเข้ารับวัคซีนเป็นหมู่คณะ และ 3.เปิดให้ประชาชนทั่วไปเดินทางเข้าขอรับวัคซีนด้วยตัวเอง แบบไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า ตามจุดบริการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาสำหรับประชาชนบางกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี หรือติดปัญหาในการจองวัคซีนให้เข้าถึงได้มากที่สุด ซึ่งจะเริ่มภายในเดือนมิถุนายนนี้ ในฐานะประธานภาคเอกชนของโครงการหัวหิน รีชาร์จ ประเมินว่า การปรับแนวทางดังกล่าวตรงกับสิ่งที่ภาคเอกชนต้องการสูงมาก ซึ่งถือเป็นข่าวดี โดยหลังจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้อนุญาตให้ภาคเอกชนขอเข้ารับวัคซีนเป็นหมู่คณะได้ จะประสานไปยังนายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประธานโครงการภาครัฐของโครงการหัวหินรีชาร์จ เพื่อขอพิจารณาให้บุคลากรด้านท่องเที่ยวและบริการของหัวหินได้รับวัคซีนด้วย ซึ่งนายแพทย์สุริยะ แจ้งว่าหากขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ยินดีจะทำตามความต้องการของภาคเอกชน แต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพราะวัคซีนที่ทางรัฐบาลจะกำหนดให้แต่ละพื้นที่ของจังหวัดต้องมีความชัดเจน เพื่อให้คนที่เดินทางไปฉีดได้รับความสะดวกสูงสุ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image