นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังให้คณะผู้แทนคณะผู้แทน China Economic Cooperation Center(CECC)ในสังกัดสำนักงานลงทุนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าพบที่กระทรวงอุตสาหกรรม ว่า การหารือครั้งนี้เน้นการเจรจาด้านเศรษฐกิจการลงทุนโดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจีนมีความเชี่ยวชาญในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงอยากให้เกิดการลงทุน เกิดความร่วมมือและพัฒนาในส่วนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนายย่อม (เอสเอ็มอี) กันมากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อาหาร อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิค อุตสาหกรรมดิจิตอล ซึ่งทั้งหมดอยู่ใน10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ไทยต้องการอยู่แล้ว ทั้งนี้พบว่ายอดขอส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ของจีน 7 เดือนแรกของปี สูงถึง 21,459 ล้านบาท หรือกว่า 55 โครงการ เป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่น โดยหลังการเจรจาครั้งนี้ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้ทางจีนตัดสินใจว่ามีนโยบายการลงทุนส่วนใดบ้าง แต่เชื่อว่าโครงการรัฐอย่างโครงการลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสี ที่กำลังจะเกิดในอนาคตน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ดึงดูดให้นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น
นายไพศาล พืชมงคล อุปนายกและเลขาธิการ สมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวว่า หลังจากที่คณะ CECC ได้รับทราบนโยบายความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ทั้งด้านการค้า การลงทุน จากภาครัฐ จากนี้มองว่าบรรยากาศการลงทุนของนักลงทุนจีนในไทยจะขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากศูนย์ดังกล่าวจะประสานด้านการค้าการลงทุนกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ทั่วประเทศจีน เช่นเดียวกับการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หรือ กรมส่งเสริมการส่งออก ทั้งนี้เชื่อว่าจีนจะขยายฐานการลงทุนในอาเซียนอย่างแน่นอน ตามนโยบายของ นาย สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนตามกรอบ One Belt One Road ที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้าทั้งโลกกับจีน อีกทั้งจีนมองว่าไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีความเหมาะสม และไม่เคยมีปัญหากับประเทศจีน