โควิดฉุดความเชื่อมั่นค้าปลีกวูบ พ.ค.รายได้ตก 30-50% ผู้ประกอบกว่าครึ่งสภาพคล่องเหลือไม่ถึง 6 เดือน

โควิดรอบ 3 ฉุดความเชื่อมั่นค้าปลีกวูบ พ.ค.รายได้ตก 30-50% ผู้ประกอบกว่าครึ่งสภาพคล่องเหลือไม่ถึง 6 เดือน จี้รัฐเยียวยา-เร่งซอฟต์โลน

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า สมาคมได้สำรวจความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกไทยในทุกภาคส่วนของทั้งค้าปลีกสินค้าและค้าปลีกบริการ เดือนพฤษภาคม 2564 โดยสำรวจทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 17-25 พฤษภาคม 2564 มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย ร้านค้าปลีกสินค้าหลากหลายทั่วประเทศ ดังนี้

1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกรวม เดือนพฤษภาคมปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดือนเมษายน และยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 มาก สอดคล้องกับภาวะการค้าปลีกที่แย่ลงตามการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกสามที่รุนแรงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลต่อแผนการกระจายวัคซีนและมาตรการกระตุ้นกาลังซื้อที่ภาครัฐประกาศที่จะอัดฉีดเพิ่มเติมที่ยังไม่ชัดเจน

2.ดัชนีความเชื่อมั่นรวมในอีก 3 เดือนข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกสาม เดือนพฤษภาคม 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกสอง เดือนมกราคม 2564 ปรากฏว่าดัชนีเดือนพฤษภาคม 2564 ลดต่ำกว่าในเดือนมกราคม 2564 สะท้อนถึงความไม่มั่นใจถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้วยข้อกังวลถึงความยืดเยื้อของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกนี้อาจจะยาวนานกว่าระลอกสองมาก

3.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อการเติบโตยอดขายสาขาเดิมเดือนพฤษภาคม Same Store Sale Growth (SSSG) มีทิศทางที่ลดลงอย่างต่อเนื่องสะท้อนได้จากข้อมูลยอดขายสาขาเดิมเดือนพฤษภาคมลดลงมากกว่า 30-50% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนและเดือนมีนาคมตามลำดับ ซึ่งเป็นการลดลงทั้งยอดซื้อต่อบิล (Spending per Bill or Basket Size) และความถี่ในการจับจ่าย (Frequency of Shopping) ผู้ประกอบการกังวลถึงกำลังซื้อที่ลดลงและยังไม่ฟื้นตัวดี รวมถึงมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการไปจับจ่ายที่ร้านค้า

Advertisement

4.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเมื่อจำแนกตามรายภูมิภาคปรากฏว่าปรับลดลงต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ในทุกภูมิภาค สะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการในการใช้จ่ายลดลง โดยเฉพาะภูมิภาคกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคเหนือและภาคใต้ที่ลดลงอย่างชัดเจน

5.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการจำแนกตามประเภทร้านค้าปลีก เปรียบเทียบระหว่างเดือนพฤษภาคมและเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบว่า ลดลงอย่างชัดเจนและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ในทุกประเภทร้านค้าปลีก โดยเฉพาะลดลงอย่างชัดเจนในร้านค้าประเภทสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า

6.สำหรับร้านค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์ท ดัชนีความเชื่อมั่นดีขึ้นเล็กน้อยสะท้อนถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ผู้บริโภคมีความกังวลที่จะยืดเยื้อ ส่งผลให้พฤติกรรมการซื้อเป็นแบบกักตุนสินค้ามากขึ้นและมุ่งใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นทำให้มูลค่าการซื้อต่อครั้ง Per Spending หรือ Per Basket เพิ่มขึ้นแต่ความถี่ในการจับจ่ายกลับลดลง

Advertisement

7.สำหรับร้านค้าปลีกประเภทวัสดุก่อสร้างตกแต่งและซ่อมบำรุงน่าจะเป็นร้านค้าประเภทเดียวที่ดัชนีความเชื่อมั่นสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ต่อเนื่อง ทั้งนี้จากราคาเหล็กที่เป็นปัจจัยพื้นที่ในการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นและมีข่าวว่าภาครัฐจะมีมาตรการมาควบคุมทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างอื่นที่กำลังปรับราคาตามราคาเหล็กที่สูงขึ้นต้องสะดุด อย่างไรก็ตามร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้างตกแต่งซ่อมบำรุงยังคงได้รับแรงหนุนจากวิถี New Normal ทำงานที่บ้าน WFH อย่างต่อเนื่อง

8.ประเด็นพิเศษ “การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อ การจ้างงานและสภาพคล่องต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่จากมุมมองผู้ประกอบการ”

8.1 ผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 29 ระบุว่ายอดการจับจ่ายและการใช้บริการ (Traffic) ลดลงมากกว่า 25% การบริหารจัดการต้องปรับลดการจ้างงานหรือปรับลดชั่วโมงการทำงาน รวมถึงลดค่าธรรมเนียมการขายเพื่อพยุงธุรกิจให้อยู่รอด

8.2 ผู้ประกอบการร้อยละ 41 ระบุว่ามีการลดการจ้างงานมากกว่า 25% แล้ว ส่วนอีกร้อยละ 38 บอกว่า จะพยายามคงสภาวะการจ้างงานเดิม แต่คงไม่ได้นาน

8.3 ผู้ประกอบการร้อยละ 39 ระบุว่ามีสภาพคล่องเงินทุนหมุนเวียนบริหารจัดการได้ไม่เกิน 6 เดือน ในจำนวนนี้ร้อยละ 8 บอกว่า มีสภาพคล่องเหลือเพียงแค่ 1-3 เดือน

8.4 มาตรการกระตุ้นการจับจ่าย “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ผู้ประกอบการร้อยละ 56 คาดหมายว่าอาจจะช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นขณะที่ผู้ประกอบการร้อยละ 38 คาดหมายว่ายอดขายคงเดิม เพราะกลไกการใช้จ่ายซับซ้อนไม่เอื้ออำนวยให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่นิยมจับจ่ายด้วยเครดิตการ์ดได้ใช้เพิ่มเติมจาก G-Wallet

ข้อเสนอต่อภาครัฐ 1.เร่งรัดแผนกระจายการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในการจับจ่ายผู้บริโภค 2.เร่งรัดมาตรการเยียวยาช่วยจ่ายค่าแรงพนักงาน 50% แก่ร้านค้าที่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ตามประกาศภาครัฐ 3.เร่งรัดธนาคารพาณิชย์ประสานงานกับห้างค้าปลีกพิจารณาสินเชื่อ Soft Loan แก่คู่ค้า-ซัพพลายเออร์ระดับ Micro SME ตามโมเดล Sand Box สมาคมผู้ค้าปลีกไทย 4.เสนอให้ปรับแต่งกลไกเอื้อให้ผู้ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” สามารถใช้เครดิตการ์ดจับจ่ายเพิ่มเติมจาก G-Wallet ทั้งนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้นิยมที่จะจับจ่ายสินค้าด้วยเครดิตการ์ดมากกว่าเงินสด

“สมาคมฯขอตอกย้าและกระตุ้นภาครัฐให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกและบริการเรื่องสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน ด้วยมาตรการภาษีลดภาระค่าใช้จ่ายและสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แก่ผู้ประกอบการอย่างจริงจังและรวดเร็ว เพราะด้วยสภาพคล่องที่เหลืออยู่ของผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถดำเนินธุรกิจได้อีกเพียง 6 เดือน รวมทั้งมาตรการการกระตุ้นการบริโภคที่ตรงเป้าเข้าใจพฤติกรรมในการจับจ่ายของผู้บริโภค” นายฉัตรชัยกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image