ลูกจ้างโรงงานน้ำตาลพ้อ เหมือนถูกมัดมือชก ร่ำไห้ปรับทุกข์ ได้ค่าชดเชยน้อย

ลูกจ้างโรงงานน้ำตาลพ้อ เหมือนถูกมัดมือชก ร่ำไห้ปรับทุกข์ ได้ค่าชดเชยน้อย

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มมีพนักงาน-ลูกจ้างของโรงงานน้ำตาลกุมภวาปี อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ออกมาจับกลุ่มปรับทุกข์ หลังจากผู้ลงทุนจาก “ญี่ปุ่น” ประกาศปิดโรงงานแบบสายฟ้าแลบไปเมื่อ 8 มิ.ย.64 ปิดตำนาน “58 ปี ซิบาโต้” หรือ “84 ปี น้ำตาลกุมภวาปี” โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้ามาก่อน ทำให้พนักงาน-ลูกจ้างกว่า 280 คน ต้องพ้นสภาพการทำงาน 3 ก.ค.นี้ แม้ว่าโรงงานจะชดเชยให้ผู้สมัครใจลาออก มากกว่ากฎหมายกำหนด ก็กำลังถูกมองว่าผู้มีฐานเงินเดือนสูงและอายุงานมากๆ จะพอใจ แต่ผู้มีฐานเงินเดือนน้อยและอายุงานน้อยกำลังมีปัญหาไม่มีทางออก

กลุ่มพนักงาน-ลูกจ้างที่มีฐานเงินเดือนและอายุงานระดับกลาง คือ 11,000-15,000 บาท อายุงาน 3-10 ปี ร่วมกันเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า การปิดกิจการเลิกจ้างครั้งนี้ ผู้ลงทุนไม่มีความเป็นธรรม แอบซุ่มทำกันแบบเงียบๆ ตั้งใจจะมาบอกเรา 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไม่ได้เปิดโอกาสให้เราได้คิด ได้ตั้งหลักหางานใหม่ทำไว้ก่อน หลายคนมารู้ก่อน 1-2 วัน จากเอกสารโรงงานขอกำลังตำรวจ ทำให้ต้องแยกสถานที่ประชุมเป็น 6 จุด เอากำลังตำรวจมาคุม มีชายชุดดำจากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีช่องให้เราได้พูด วันนั้นเหมือนเราถูกมัดมือชก น่าจะมีช่องทางให้เลือกมากกว่านี้

“ค่าชดเชยที่บอกว่ามากกว่ากฎหมาย มันไม่ได้สวยหรูเลิศเลอสำหรับทุกคน ตั้งแต่วันประกาศปิดโรงงานก็ต้องนอนร้องไห้กันทุกคืน อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้มันฟุ้งซ่าน ต้องออกมารวมกลุ่มกันตามบ้านเพื่อน พากันร้องไห้ปรับทุกข์ คนที่ได้ชดเชยน้อยไปต่อไม่ได้ เช่น เงินเดือน 9,500 บาท (320 บาท/วัน) อายุงาน 1 ปี จะได้ชดเชย 90 วัน รวมเงิน 28,800 บาท หรือถ้าอายุงาน 3 ปี ชดเชย 165 วัน รวมเงิน 52,800 บาท จะเอาไปลงทุนทำอะไรได้ เพราะไม่ได้เตรียมตัวเลย บางคนอายุมาก เกินกว่า 40 ปี จะไปเริ่มที่ไหนได้ ยิ่งสถานการณ์โควิด-19 จะหางานใหม่ได้ยังไง”

กลุ่มพนักงาน-ลูกจ้างกลุ่มเดียวกันเรียกร้องให้ทางราชการส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยเก็บข้อมูลจากพนักงานลูกจ้างทั้งหมดเพื่อรับรู้ปัญหาจริงๆ เพราะไม่มีใครกล้าทวงถาม ซึ่งปัญหาที่พอเห็นตอนนี้อันดับแรก บ้านพักพนักงาน 85 ห้อง ส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัว หากไม่เข้าร่วมโครงการต้องย้ายออกสิ้น ก.ค.นี้ หากเข้าร่วมโครงการต้องย้ายออกสิ้น ส.ค.นี้ บางครอบครัวอยู่มานับสิบๆ ปี, เรื่องหนี้สินที่อยู่กับสหกรณ์โรงงานน้ำตาลกุมภวาปี และกองทุนเพื่อการศึกษาบุตร-พนักงาน หากมีการหักหนี้เงินชดเชยก็จะไม่เหลือ

Advertisement

ขณะบรรยากาศโรงงานน้ำตาลกุมภวาปีเงียบเมื่อไม่มีพนักงานเหมือนทุกวัน ถนนที่ก่อนนี้จะมีรถของโรงงานหมุนเวียนเข้าออก หรือรถของผู้มาติดต่อ หลังจากโรงงานน้ำตาลปิดตัวลง ขณะที่มีร้านขายไก่ย่างส้มตำที่อยู่ใกล้โรงงานซึ่งเป็นร้านค้าชุมชน ที่ทางโรงงานน้ำตาลได้สร้างขึ้น มาให้ชาวบ้านมาเช่าเปิดร้านขายของ ขายอาหาร ทุกวันจะมีพนักงานของโรงงานมาหาซื้ออาหารไปกินในโรงงาน ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเที่ยง หรือมีการโทรศัพท์สั่งซื้อ แล้วออกมานำอาหารไปกินในโรงงาน มาวันนี้เมื่อโรงงานน้ำตาลปิดตัวลงไป ร้านค้าร้านอาหารที่เคยมีคนงานมาใช้บริการก็เงียบลงไป

Advertisement

นางสุภารัตน์ โภคาพาณิชย์ อายุ 48 ปี แม่ค้าร้านไก่ย่างส้มตำ เปิดเผยว่า ไม่รู้เรื่องโรงน้ำตาลจะปิดมาก่อน รู้แต่ว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีการติดป้ายประกาศขึ้นบอร์ด และพนักงานก็มาพูดคุยกัน บอกว่าโรงงานจะปิด เราถามว่าอ้าว แล้วโรงงานจะปิดแบบไหน เขาก็บอกว่าปิดเลย เท่ากับไม่มีใครที่รู้ล่วงหน้าเลย รู้สึกใจหาย เพราะเราค้าขายให้คนงานมาตลอด ถ้าไม่ออกมาซื้อที่ร้านเอง เขาก็จะโทรศัพท์มาสั่งส้มตำเอาไปกินกัน คนไหนจะประหยัด มีเงินน้อยเขาก็ซื้อน้อย แล้วแต่เงินเดือนเขาได้มากหรือน้อย ส่วนใหญ่เขาจะห่อข้าวมากิน แล้วมาซื้อกับข้าวถุง ถุงละ 10-20 บาท ไปกิน

นางสุภารัตน์บอกอีกว่า ทุกวันคนงานมาซื้อของแถวนี้ทุกร้าน ทั้งร้านข้าวมันไก่ที่ใส่กล่อง เขาก็จะมาซื้อไปกินสลับร้านกันไป เมื่อโรงงานน้ำตาลปิด ร้านคงได้รับผลกระทบ วันนี้ก็ลดของเอามาขายลง เช้าๆ คนงานจะมาซื้ออาหารถุงหมดทุกวัน ไม่เหลือมากเหมือนวันนี้ ไหนจะเจอเรื่องโควิด แล้วต้องมาเจอเรื่องปิดโรงงาน ทำให้เราค้าขายแย่ลง คงต้องลดของที่จะมาขายลง ร้านอาหารก็เยอะ ต่อไปคงไม่มีคนมาซื้อ เพราะคนแถวนี้เขาก็หากับข้าวกินกันเอง

ขณะที่ สนง.คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ชี้แจงผ่านเอกสารข่าว ระบุว่า นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน กรณีบริษัท น้ำตาลกุมภวา จำกัด อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มีมติหยุดกิจการน้ำตาลอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทจะโอนย้ายสัญญาซื้อขายอ้อยไปยังบริษัท น้ำตาลเกษตรผล จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเดียวกัน ที่มีกำลังการผลิตได้ถึง 30,000 ตันอ้อยต่อวัน เพื่อรองรับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาจากบริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด

นายเอกภัทรกล่าวว่า บริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด มีชาวไร่อ้อยคู่สัญญา จำนวน 1,195 ราย ในฤดูการผลิตปี 2563/2564 หีบอ้อยได้ 716,862.94 ตัน และผลิตน้ำตาลได้ 82,977.23 ตัน โดยการปิดโรงงานดังกล่าวจะไม่กระทบกับชาวไร่อ้อยคู่สัญญา ในขณะเดียวกันนี้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ประสานไปยัง บริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด ให้ดำเนินการตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาช่วยเหลือแก่พนักงานประจำโรงงาน และจะดำเนินการติดตามการจ่ายเงินค่าอ้อยขั้นสุดท้ายให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาอย่างใกล้ชิด

ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายในช่วงเดือนตุลาคม 2564 รวมไปถึงตรวจสอบภาระหนี้ของบริษัท กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อไม่ให้กระทบกับระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการปิดกิจการจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 แต่อย่างใด

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวปิดท้ายว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ในฤดูการผลิตปี 2564/2565 มีแนวโน้มผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลของตลาดโลกจะสูงขึ้นจากในฤดูการผลิตปี 2563/2564 จึงมั่นใจได้ว่าผลประกอบการโรงงานน้ำตาลอีก 56 โรงงาน จะมีแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ถือเป็นสัญญาณที่ดีท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image