“เฟรเซอร์สฯ” ทุ่ม 1.5 หมื่นล. ลุยอสังหาฯเพื่ออุตฯระยะ 5 ปี รับธุรกิจยานยนต์อีวี-อิเล็กทรอนิกส์ -อีคอมเมิร์ซโต

“เฟรเซอร์สฯ” ทุ่ม 1.5 หมื่นล. ลุยอสังหาฯเพื่ออุตฯระยะ 5 ปี รับธุรกิจยานยนต์อีวี-อิเล็กทรอนิกส์ -อีคอมเมิร์ซโต

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FPIT ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศไทย ในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” เปิดเผยถึงทิศทางผลประกอบการธุรกิจปี 2564 พร้อมกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินงานในอีก 5 ปีข้างหน้า ว่า จะเน้นการสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตในทุกมิติ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจะนำประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจกว่า 30 ปี มาพัฒนาเป็นโซลูชั่นครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ใหม่ ‘น่านน้ำสีม่วง หรือ Purple Ocean Strategy’ ที่เสริมสร้างความพร้อมและความแตกต่างให้แก่บริษัทฯในการขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับการแข่งขันสูงในน่านน้ำสีแดง หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่กำลังเกิดขึ้นในน่านน้ำสีน้ำเงิน หรือหากต้องเผชิญกับทั้งสองน่านน้ำในคราวเดียวกันใน น่านน้ำสีม่วง

นายโสภณกล่าวว่า ทั้งนี้สำหรับแผน 5 ปีนั้น บริษัทตั้งเป้าที่จะต้องมีการพัฒนาพื้นที่คลังสินค้า-โรงงาน หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมให้ได้ปีละประมาณ 1.5 แสนตารางเมตรต่อปี เพื่อให้ภายใน 5 ปีมีพื้นที่รวม 4 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) จากปัจจุบันมีอยู่แล้วประมาณ 3 ล้านตร.ม. ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจยานยนต์โดยเฉพาะด้านอีวี ที่ขณะนี้กำลังมาแรงและประเทศไทยกำลังส่งเสริมอยู่ ขณะเดียวกันยังพบว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็มาแรงด้วยเช่นกัน ทั้งนี้การที่จะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าที่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2,500-3,500 ล้านบาทต่อปีหรือ 5 ปีใช้งบลงทุนรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีแผนที่จะลงทุนโลจีสติกส์ปาร์คใหม่อีก 2-3 ปารค์ในช่วง 5 ปีนี้

“การที่เรามีแผนจะพัฒนาพื้นที่ให้ได้ 1.5 แสนตร.ม./ปี เนื่องจากเห็นว่ายังมีตลาดหรือความต้องการเยอะมาก เพราะแนวโน้มอีคอมเมิร์ซ มาแรงมากมีความต้องการใช้คลังสินค้าเยอะในพื้นที่ใกล้เมืองไม่ว่าจะเป็น บางนา บางพลีสมุทรปราการ ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการใช้พื้นที่แล้วถึง 90% ของพื้นที่เช่ารวมที่ 16,000 ตร.ม.”นายโสภณกล่าวและว่าที่ผ่านมา FPIT ได้มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้สร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจผ่านกระบวนการ Business Transformation เพื่อปรับรูปแบบการทำงานให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรักษาความเป็นผู้นำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นรวมกว่า 3 ล้านตร.ม. และมีอัตราการเช่าพื้นที่โดยรวมสูงกว่า 82% ในปี 2564

นายโสภณกล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะสร้างความแตกต่าง โดยจะเดินหน้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย อาทิ โครงการ In-Property Logistics และโครงการ In-City Logistics เพื่อย่อขนาดพื้นที่โลจิสติกส์เข้าสู่ในเมือง และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมการออกแบบเพื่อขยายขนาดการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองอุตสาหกรรม (Industrial Township) ที่เป็นการรวมอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน มุ่งพัฒนาการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) โดยได้จัดทำนโยบาย Green Development Policy เพื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ และมีความยั่งยืนในด้านการบริหารจัดการ รวมถึงการขยายการลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการให้บริการพื้นที่อาคารอุตสาหกรรม อาทิ รูปแบบ Co-Warehousing หรือ Flexible Space เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการพัฒนาการให้บริการที่รองรับระบบ Smart Storage ด้วยการใช้ IoT มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

Advertisement

“แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าและสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้เราเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการประยุกต์ใช้กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ใหม่ของ FPIT นี้ เรามั่นใจว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตร้อยละ 10-15 ต่อปี และสามารถขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 โดย FPIT จะยังเดินหน้าพัฒนาโครงการที่รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ตามแนวคิด การสร้างสรรค์พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่เอื้อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Inspiring Seamless Business Solution Experience ในทุกสภาวการณ์” นายโสภณ กล่าว

นายโสภณกล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานนั้น ผลประกอบการค่อนข้างออกมาดี (ปีงบของบริษัทเริ่ม ต.ค.63-ก.ย.64) เนื่องจากมีความหวังเรื่องวัคซีน และสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ซึ่งคาดหวังว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ และสามารถวางเงินค้ำประกันการเช่าได้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ อสังหาฯเพื่อการอุตสาหกรรมน่าจะดีขึ้น และเชื่อว่าโดยภารวมของบริษัทจะได้รายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

“แม้จะมีโควิด-19 แต่การลงทุนในประเทศไทยยังได้รับการสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอยู่โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีน รวมถึงนักลงทุนต่างชาติในจีนที่มีแผนจะขยายฐานการลงทุนมาในอาเซียน ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้สนใจลงทุนใน 2 ประเทศ คือไทย และเวียดนาม”นายโสภณกล่าว

Advertisement

นายโสภณกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการลงทุนโครงการอินดัสเตรียลทาวน์ชิป หรือเมืองอุตสาหรรมนั้น ย่านบางนา-ตราด กม.32 พื้นที่ 4,700 ไร่นั้น ขณะนี้มีการออกแบบไว้แล้ว และอยู่ระหว่างการหารือกับนักลงทุนใหญ่ๆ หลายราย เพราะจะมีการลงทุนแบบหลากหลายประเภท เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะนำที่ดินในเมืองมาพัฒนาเป็นซิตี้โลจีสติกส์ คือมีอาคารสำนักงานพื้นที่ขนาดเล็กประมาณ 200-300 ตร.ม. มาดัดแปลงเพิ่มเพื่อรองรับธุรกิจดิลิเวอรี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสต็อกที่ดินอยู่แล้ว โดยเป็นที่ดินเดิมของทีซีซี และของบริษัทแผ่นดินทอง ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนในด้านโลจีสติกส์ไปแล้ว 15 จังหวัด และก็ยังมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในพื้นที่อื่นๆที่ภาครัฐกำลังโปรโมทอยู่ไม่ว่าจะเป็น อีอีซี เซ้าท์เทิร์นซีบอร์ด อีสต์เทิร์นซีบอร์ด นอร์ทเธอร์น ดังนั้นหากโครงสร้างพื้นฐานพร้อมเมื่อไหร่บริษัทก็จะเข้าไปลงทุนทันที ขณะเดียวกันก็อยากให้ภาครัฐให้สิทธิประโยชน์สำหรับการไปลงทุนด้วย เพราะเพราะการพัฒนาพื้นที่ของบริษัทสามารถรองรับนักลงทุนต่างชาติได้ทันที เพราะมีโรงงานพร้อมอยู่แล้ว

นายโสภณกล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ FPIT ได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” และ “เราต่าง” เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานด้านต่างๆ ประกอบด้วย เพิ่มทำเลศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน สานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความสามารถเฉพาะด้าน เพื่อต่อยอดด้านการให้บริการลูกค้าในรอบด้าน อาทิ การเสริมบริการระบบออโตเมชั่น การบริหารทรัพย์สิน และการพัฒนาธุรกิจใหม่ การปรับปรุงอาคารโรงงานและคลังสินค้าปัจจุบันให้มีความทันสมัยและพร้อมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าในปัจจุบัน ภายใต้โครงการ Asset Enhancement Initiative (AEI) ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการลูกค้าในทุกตลาด โดยปัจจุบันได้ลงทุนแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ใกล้กรุงจาการ์ตา และในประเทศเวียดนาม ที่เมืองบินห์เยืองพื้นที่รวมประมาณ 300 ไร่เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและโลจีสติกส์ปาร์ค โดยจะเริ่มพัฒนาได้ปลายปีนี้และคาดว่ารายได้จะเข้มาในช่วงปลายปีหน้า

” ทั้งนี้สำหรับ 6 เดือนที่เหลือปีนี้บริษัทยังคงมองอาเซียนอยู่ และเราเป็นแม่แบบกลุ่มอาเซียน เราได้รับการติดต่อจากหลายประเทศเอาโมเดลไทคอนเดิม คืออาคารเสร็จรูปและแฟคทอรี่จะเอาไปใช้ที่ต่างประเทศด้วย แต่ขออุบไว้ก่อน ขอที่เวียดนามก่อน เพราะต่างประเทศมองไทยและเวียดนามในช่วง 2 ปีนี้”นายโสภณกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image