‘จุรินทร์’ กดปุ่ม จับคู่กู้เงินภาคสอง ยึดสูตร 7-7-7 ช่วยเอสเอ็มอีส่งออก

‘จุรินทร์’ กดปุ่ม จับคู่กู้เงินภาคสอง ยึดสูตร 7-7-7 ช่วยเอสเอ็มอีส่งออก

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการเปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน” สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออกและเป็นสักขีพยานในการอนุมัติสินเชื่อระหว่าง Exim Bank กับผู้ประกอบการการส่งออก โดยความร่วมมือของ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นำโดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และ บสย. หรือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม

นายจุรินทร์กล่าวว่า ต้องยอมรับความจริงว่าสถานการณ์ปัจจุบันการส่งออกถือเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สามารถทำรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นปีนี้ รายได้ที่เข้าประเทศเป็นผลจากการส่งออก สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศทั้งการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานในส่วนกลาง ภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น รวมทั้งนำมาช่วยดูและพี่น้องประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัด ตัวเลขการส่งออกเฉพาะเดือนพฤษภาคมปีนี้ขยายตัวถึง 41.59% ถือว่าสูงสุดในรอบ 11 ปี เฉพาะเดือนพฤษภาคม 714,885 ล้านบาท รวม 5 เดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่มกราคมถึงพฤษภาคม สามารถทำรายได้เข้าประเทศถึง 3.5 ล้านล้านบาท

นายจุรินทร์กล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัวเลขส่งออกสามารถขยายตัวในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา 1.เพราะนโยบายและความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน ที่จับมือกันทำงานอย่างเข้มแข็งใกล้ชิดและต่อเนื่องภายใต้กลไก กรอ.พาณิชย์ 2.ความรวดเร็วในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาทุกสถานการณ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ทั้งการเร่งรัดแก้ไขตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนจนตัวเลขตู้คอนเทนเนอร์เริ่มกลับมาสู่สภาพสมดุล แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขจัดปัญหาการส่งออกสินค้าตามแนวชายแดนทั้งการส่งออกสินค้าข้ามแดนผ่านแดน และอีกเหตุผลคือการฟื้นตัวของทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า

Advertisement

“สำหรับผู้ส่งออกที่มีส่วนในการทำรายได้เข้าประเทศไม่ได้มีแต่คนตัวใหญ่แต่มีคนตัวเล็กอีกเป็นจำนวนมากที่เราเรียกว่า SMEs หรือ Micro SMEs มีประมาณ 3,000,000 ราย แต่มีอยู่ 30,000 รายที่เป็น SMEs ที่ส่งออกปัญหาของ SMEs คือ 1.ด้านการผลิต 2.การแปรรูป 3.นวัตกรรม 4.การตลาด แต่มีอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งและทำให้ SMEs ที่ทำธุรกิจส่งออกไม่สามารถทำตัวเลขทำรายได้ให้ประเทศตามความตั้งใจ คือการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อหมุนเวียนในการประกอบกิจการและเสริมสภาพคล่อง

“โครงการ จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก จึงเกิดขึ้นถือเป็นโครงการ จับคู้กู้เงิน ภาค 2 ต่อจากโครงการ จับคู่กู้เงินสถาบันการเงินกับร้านอาหาร ซึ่งดำเนินการประสบผลสำเร็จอย่างดีมีร้านอาหารยื่นขอกู้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ราย และอยู่ในขั้นตอนพิจารณาคาดว่าจะสามารถอนุมัติวงเงินกู้ได้ไม่ต่ำกว่า 1,500-2,000 ล้านบาท จะมีส่วนช่วยอย่างยิ่งในการต่อลมหายใจให้กับร้านอาหาร

Advertisement

“วันนี้โครงการ จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก 30,000 ราย ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจาก EXIM Bank จัดวงเงินให้เป็นพิเศษ 2,500 ล้านบาท และเงื่อนไขพิเศษ ประกอบด้วย 1.ดอกเบี้ย ร้อยละ 3.99 ต่อปี จากปกติร้อยละ 6.5 ต่อปี 2.ไม่ต้องมีหลักทรัพย์เพราะ บสย.จะช่วยค้ำประกันหลักทรัพย์ให้ ปลอดค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันหลักทรัพย์ 2 ปี

3.การพิจารณายื่นคำขอกู้จากปกติประมาณ 30 วัน จะพิจารณาให้เสร็จใน 7 วันทำการ 4.ทุกรายที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ ธนาคาร EXIM Bank จะมอบกรมธรรม์ประกันการชำระเงินให้ฟรี 1 shipment คือถ้า SMEs มีออเดอร์นำเข้าจากต่างประเทศ จะมีหลักประกันว่าการส่งสินค้าออกต้องได้เงินแน่นอน ซึ่งปกติต้องจ่ายเบี้ยประกันแต่จะให้ฟรีสำหรับการส่งออก shipment แรกหลังได้เงินกู้แล้ว 5.จะได้รับการอบรมความรู้เรื่องการส่งออก และการยื่นขอกู้เงินนั้นสามารถยื่นได้ทาง LINE@ ของ EXIM Bank หรือ LINE@ ของ บสย. หรือเว็บไซต์และFacebook หรือจะไปที่สำนักงานก็ได้” นายจุรินทร์กล่าว

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า สำหรับวันนี้ได้มีการเปิดรับสินเชื่อล่วงหน้าและอนุมัติมาเป็นตัวอย่างทั้งหมด 7 รายวงเงินสินเชื่อ 22.2 ล้านบาท และวันนี้มีผู้ยื่นเข้ามาแล้ว 188 รายวงเงิน 1,021 ล้านบาท ในโอกาสเปิดโครงการ วันที่ 7 เดือนที่ 7 อนุมัติทั้งหมด 7 ราย แสดงให้เห็นว่า SMEs ประสงค์ขอสินเชื่อเยอะสำหรับการส่งออกเพื่อทำรายได้เข้าประเทศ

“ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เข้ามามีบทบาทจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนจับมือร่วมกันในการทำตัวเลขส่งออกของประเทศนำรายได้เข้ามาช่วยเหลือประเทศและประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้ได้มากที่สุดต่อไป” นายจุรินทร์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image