ผู้เขียน | ณัฐชนัน ฐิติพันธ์รังสฤต |
---|
ภายหลังรัฐบาลประกาศยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ในพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด 10 จังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล เน้นที่การจำกัดการเดินทาง และให้ทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เกือบ 100% เสมือน กึ่งล็อกดาวน์ ย่อมมีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเพิ่มภาระให้ประชาชน
จากการประกาศล็อกดาวน์ครั้งที่ผ่านๆ มา รัฐบาลได้แจกเงินเยียวยาซึ่งจำนวนเงินน้อยลงเรื่อยๆ จากรอบแรก คนละ 15,000 บาท รอบสองควบรอบสาม รวมแล้วคนละประมาณ 9,000 บาท ในขณะที่ระยะเวลาการระบาดก็ยาวนานมาก มิหนำซ้ำยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดยังเฉียดหมื่นรายต่อวัน ด้านแผนการนำเข้าและกระจายวัคซีนยังติดขัดและล่าช้า
ล่าสุด รัฐบาลกำลังเร่งหารือ สรุปมาตรการการเยียวยา ซึ่งงบประมาณที่รัฐบาลมีอยู่ในตอนนี้คือ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาจากการระบาดของโควิด-19 วงเงิน 5 แสนล้านบาท
เบื้องต้นรัฐบาลเตรียมเน้นช่วยเหลือเรื่องเงินเดือนในรูปแบบโค-เพย์ จากประกันสังคม ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้นายจ้าง และเติมเงินให้กับลูกจ้างในระบบประกันสังคมเพื่อช่วยพยุงการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการเยียวยาในรูปแบบการเติมเงินเข้าระบบอย่างโครงการเราชนะ หรือ ม33เรารักกัน ก็อาจจะนำกลับมาใช้อีกครั้ง หรืออาจจะขยายวงเงินคนละครึ่ง เฟส 3 แต่ครั้งนี้อาจจะต้องขยายให้ใช้จ่ายในแพลตฟอร์มออนไลน์ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้คนต้องพึ่งพาการสั่งสินค้าผ่านช่องทางดิลิเวอรีมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ
นอกจากนี้ จะมีมาตรการลดค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า ควบคู่กับการเยียวยา เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนเช่นเดียวกับที่ผ่านมา
เพราะปากท้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องเร่งเยียวยาและดูแลอย่างเร่งด่วน