กรุงไทย ชี้เทรนด์ Food Traceability กำลังมา แนะธุรกิจอาหาร เน้นมาตรฐาน ตรวจสอบได้

กรุงไทยแนะธุรกิจเกษตร-อาหารทำ Food Traceability รับมาตรฐานโลก

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า Food Traceability คือการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร โดยผู้ประกอบการในธุรกิจเกษตรและอาหารต้องก้าวให้ทันมาตรฐาน เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร ประเด็นด้านสุขภาพและสวัสดิภาพแรงงาน รวมถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม จึงต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหาร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความท้าทายที่จะเข้ามาในรูปแบบของมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับตลอดกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคทางการค้าสำหรับผู้ส่งออกไทยได้หากเตรียมตัวไม่ทัน

“ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรและอาหารต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบทางการค้าที่ออกมาใหม่ๆ อาทิ นโยบาย Farm to Fork ของสหภาพยุโรป ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตจากฟาร์มไปจนถึงมือผู้บริโภค โดยจะต้องมีการพัฒนาระบบการผลิตและขนส่งอาหารที่มีความโปร่งใส ดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าอาหารโดยการบังคับติดฉลากเพื่อแสดงข้อมูลสินค้า เช่น โภชนาการ แหล่งที่มา ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ หรือมาตรฐานเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาที่จะทำให้การตรวจสอบย้อนกลับของแหล่งที่มาอาหารจากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบเอกสารมาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2023”

นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า สินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่ต้องเร่งดำเนินการเรื่อง Traceability อย่างจริงจังมี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ ประมง อาหารสัตว์ และสินค้าผักและผลไม้ โดยสินค้าเหล่านี้มักถูกจับตาในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในสินค้า และยังเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับระบบการตรวจสอบย้อนกลับอาหารค่อนข้างมาก

Advertisement

นอกจากนี้ ในระยะหลังคู่ค้าสำคัญอย่างจีนก็เข้มงวดในมาตรการด้านสุขอนามัยในสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ทั้งนี้ สินค้า 4 กลุ่มหลักมีมูลค่าการส่งออกรวมกันถึง 159,000 ล้านบาทต่อปี หรือ 16% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยซึ่งอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี

นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นตลอดห่วงโซ่การผลิต ในรูปแบบดิจิทัลเพื่อช่วยให้การตรวจสอบย้อนกลับอาหารทำได้ง่ายขึ้น อาทิ ข้อมูลแหล่งผลิตฟาร์มและเพาะเลี้ยง ชนิดพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ ปริมาณการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง ข้อมูลการแปรรูป สำหรับตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร ได้แก่ การใช้ RFID ,IoT ,QR Code และ Blockchain ในการเก็บข้อมูลแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์

“โดยผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับจากฉลากสินค้าในรูปแบบ QR Code อีกทั้งในกรณีที่เกิดโรคระบาดในสัตว์ยังช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบสินค้าที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อ ทั้งนี้ แห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ การสร้างพันธมิตรที่เกื้อหนุนกันทั้งระบบนิเวศ ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่ให้การรับรองมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาหาร เช่น สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และสถาบันอาหาร”

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image