ภาวะศก.การคลัง มิ.ย. ยังได้รับผลโควิด เอกชนชะลอการลงทุน สศค.ชี้ เสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

สศค. เผยภาวะเศรษฐกิจการคลัง มิ.ย.64 ยังได้รับผลจากโควิด เอกชนชะลอการลงทุน ด้านส่งออกยังขยายตัวสูง

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน 2564 พบว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2564 ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สะท้อนจากการใช้จ่ายของภาคเอกชนที่มีสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ายังคงขยายตัวในอัตราที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ยังขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่ง และปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2564 ขยายตัวที่ 20.6% และ 24.5% ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยฐานต่ำในปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัว 27.0% และ 13.7% ตามลำดับ

สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ 13.3% ต่อปี ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัวในอัตราชะลอลงที่ 5.0% ต่อปี และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 43.1 จากระดับ 44.7 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่คลี่คลายลง

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ยังขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่มีสัญญาณชะลอลง โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนมิถุนายน 2564 ขยายตัวในอัตราชะลอลงที่ 13.9% ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัว 5.0%

Advertisement

สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -0.8% ต่อปี และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -2.0% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้การก่อสร้างชะลอตัว ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวที่ 8.5% ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัว 6.3%

มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 23,699.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ 43.8% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงสุดในรอบ 11 ปี นอกจากนี้เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัว 41.6% ต่อปี

โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1. สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะ ยางพารา ผักและผลไม้ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัว 111.9% 110.2% และ 81.5% ต่อปี ตามลำดับ 2.สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ

Advertisement

3. สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง 4. กลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิตที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่น เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น และ 5.สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำขยายตัว 78.5% และ 114.3% ต่อปี ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย อาเซียน-9 และจีน ที่ขยายตัวที่ 123.9% 42.8% และ 42.0% ต่อปี ตามลำดับ

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน มีสัญญาณขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยภาคเกษตรยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนมิถุนายน 2564 ขยายตัวที่ 3.9% ต่อปี และขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 4.5% จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และหมวดปศุสัตว์

ในขณะที่บริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนมิถุนายน 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ จำนวน 5,694 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอาเซียน ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ รัฐบาลได้เปิดโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 และ “สมุยพลัส” เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีคุณสมบัติสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว โดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ในส่วนของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตั้งแต่วันที่ 1 – 25 กรกฎาคม 2564มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว จำนวน 11,585 คน สำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายน 2564 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 80.7 จากระดับ 82.3 ในเดือนพฤษภาคม 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เริ่มมีการระบาดในคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.2% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.5% ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 อยู่ที่ 55.4% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ในระดับสูงที่ 246.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image