‘ททท.’ ยัน ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’ เดินหน้าต่อแม้ยอดติดเชื้อสูงขึ้น ชี้ยังเป็นความเสี่ยงที่รับไหว

‘ททท.’ ยัน ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’ เดินหน้าต่อแม้ยอดติดเชื้อสูงขึ้น ชี้ยังเป็นความเสี่ยงที่รับไหว

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ยังยืนยันในการเดินหน้าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัว เน้นเฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว และต้องมาจากประเทศต้นทางที่มีความปลอดภัยด้วย ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ความคืบหน้าและสถานการณ์การท่องเที่ยวในภูเก็ตล่าสุด พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในภูเก็ตสูงขึ้น โดยเฉพาะคนในประเทศ ซึ่งสาเหตุมาจากโครงการยินดีต้อนรับผู้ป่วยกลับบ้าน โดยมากกว่า 90% พบว่าผู้ติดเชื้อเหล่านี้ เป็นกลุ่มเสี่ยงที่รอผลตรวจเชื้อและอยู่ระหว่างการกักตัวอยู่แล้ว ทำให้ความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อมีน้อยมาก บวกกับความสามารถด้านสาธารณสุขในการรองรับผู้ป่วย พิจารณาจากอัตราการครองเตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยครองเตียงอยู่ที่ 30% เท่านั้น ซึ่งในแผนเผชิญเหตุได้กำหนดไว้ว่า หากพบผู้ติดเชื้อครองเตียงเกิน 80% จึงจะพิจารณาทบทวนการชะลอหรือยกเลิกการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงยืนยันว่าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สามารถเดินหน้าต่อได้แน่นอน

“นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา ต้องทำการตรวจหาเชื้อโควิดในสนามบินก่อน และรอผลตรวจภายในห้องพักของโรงแรมที่จองไว้ หลังจากยืนยันว่าไม่พบเชื้อแล้วจึงจะสามาถเดินทางเที่ยวในเกาะภูเก็ตได้ แต่หากยืนยันพบเชื้อโควิด จะถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลทันที ซึ่งค่าใช้จ่ายจะถูกเรียกเก็บจากประกันสุขภาพที่ทำก่อนเดินทางเข้ามา โดยนักท่องเที่ยวจะอยู่ในกระบวนการควบคุมบริหารความเสี่ยง จึงมีโอกาสน้อยมากที่เชื้อจะแพร่กระจายออกไปข้างนอก รวมถึงขณะนี้คนภูเก็ตได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วกว่า 90% และเข็ม 2 กว่า 70% จึงเป็นอีกเหตุผลที่สร้างความมั่นใจว่าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เดินหน้าต่อได้” นายศิริปกรณ์ กล่าว

นายศิริปกรณ์กล่าวว่า ทิศทางต่อไปในการเดินหน้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก ในการชูจุดเด่นของจังหวัดภูเก็ต ในรูปแบบพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ ซึ่งแยกออกจากภาพรวมของประเทศ เนื่องจากคนในภูเก็ตซีนวัคซีนจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว บวกกับอัตราการระบาดในจังหวัดเทียบกับจำนวนประชากร ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และเป็นความเสี่ยงที่รับมือได้ โดยจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงทำความเข้าใจว่าทุกพื้นที่มีบริบทแตกต่างกัน โดยแผนงานของ ททท. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมสนับสนุนการเดินหน้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์อยู่แล้ว ทั้งในด้านการทำตลาดและการประสานงาน ซึ่งมีจุดยืนในการทำงานคือ จะต้องฉวยวิกฤตให้เป็นโอกาสให้ได้ เน้นโฟกัสและมองบวก

นายศิริปกรณ์กล่าวว่า การเริ่มต้นในวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เชื่อว่าก้าวมาถูกทางแล้ว เพราะหากไม่สามารถเริ่มได้ จะไม่มีตัวอย่างในการดำเนินต่อไป โดยเฉพาะภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ไม่ได้ถูกมองจากสายตาคนไทยเท่านั้น แต่ถูกติดตามผลจากหลายประเทศทั่วโลก ที่เริ่มต้นทำโครงการในรูปแบบลักษณะเดียวกันแล้ว จึงถือเป็นการนำร่องที่ดี ในส่วนของหลักการทำการตลาดในระยะถัดไป จะเน้น 4ดี ได้แก่ 1.ความต้องการ (ดีมานด์) ที่จะต้องรับฟังเสียงลูกค้าให้มากขึ้น ทำความเข้าใจและให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด 2.ข้อมูล (ดาต้า) ข้อมูลที่มีอยู่ในช่วงที่ผ่านมา เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยปัจจุบันจะต้องตั้งค่าข้อมูลหรือเซตซีโร่ใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหรือเป็นฐานลูกค้าหลัก ในการเข้ามาเที่ยวไทยแต่ละพื้นที่ ว่ามีเงื่อนไขอะไรที่เป็นอุปสรรคบ้าง อาทิ ต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทย หากกลับประเทศต้นทางจะต้องกักตัวหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีข้อมูลแบบนี้จะไม่สามารถทำตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายและตอบโจทย์ได้ 3.การใช้เทคโนโลยี (ดิจิทัล) การเตรียมพร้อมดำเนินการผ่านการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น อาทิ สถานประกอบการจะต้องปรับตัวในการให้บริการลูกค้า ที่ต้องการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล หรือการไม่ใช้เงินสด และ 4.การท่องเที่ยวในประเทศ (โดเมสติก) การกระตุ้นให้เกิดกระแสเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิดระบาดคลายตัวลงแล้ว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image