บีซีพีจี กำไรโต 59% เล็งออกกรีนบอนด์ในไตรมาส 3/64

บีซีพีจี กำไรโต 59% เล็งออกกรีนบอนด์ในไตรมาส 3/64

นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/2564 มีกำไรสุทธิ 565 ล้านบาท เพิ่มขี้น 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 355 ล้านบาท มีรายได้รวม 1,088 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B ใน สปป.ลาว ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น และรับรู้รายได้เต็ม ไตรมาสจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ จำนวน 4 โครงการที่ซื้อเข้ามาในไตรมาส 3/2563

ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30% และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น 130% จากค่าไฟที่ถูกปรับขึ้น ทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ไตรมาส 2/2564 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 80 ล้านบาท ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ไตรมาสนี้อยู่ที่ 992 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% จากปีก่อนอยู่ที่ 860 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 928 ล้านบาท มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) 1,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.2% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,684 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2,135 ล้านบาท

“แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่คาดว่ามีอัตราการผลิตที่สูงขึ้น และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทยอยเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (ซีโอดี) ในครึ่งปีหลังเป็นต้นไป”นายบัณฑิตกล่าว

Advertisement

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน รวมส่วนที่มีผู้ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) จำนวนรวม 7,9000 ล้านบาท ไปขยายการลงทุนโครงการใหม่ตามแผน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่สามารถรับรู้รายได้ทันที ผลักดันกำไรก่อนหักค่าเสื่อมฯ ปี 2564 โตไม่น้อยกว่า 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (กรีนบอนด์) ในช่วงไตรมาส 3/2564 เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ชำระคืนเงินกู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน จะทำให้บริษัทสามารถจัดระยะเวลาการชำระหนี้ให้มีความเหมาะสมมากขึ้นด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image