กลุ่มปตท.ลุยพลังงานอนาคต ตั้งเป้าสัดส่วนกำไร 30%

กลุ่มปตท.ลุยพลังงานอนาคต ตั้งเป้าสัดส่วนกำไร 30%

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. ยังคงลงทุนต่อเนื่อง แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยตั้งเป้าหมายเงินลงทุนของทั้งกลุ่มในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) จำนวน 865,000 ล้านบาท ไม่รวมโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการลงทุน โดยปรับสัดส่วนการลงทุนตามกรอบวิสัยทัศน์ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เป็นศูนย์กลางการกระจายแอลเอ็นจี (แอลเอ็นจีฮับ) เข้าสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต รุกธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการลงทุนเตรียมพร้อมรองรับกระแสยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนเข้าสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพตามทิศทางโลก อาทิ มุ่งสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และมุ่งขยายการค้าปลีกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก รวมถึงขยายการลุงทุนในธุรกิจ วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ธุรกิจยา และอุปกรณ์การแพทย์ ดึงความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ จับมือพันธมิตรทั้งในไทยและต่างชาติ

นอกจากนี้บริษัท ยังเตรียมงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อใช้กับการลงทุนที่อาจจะมีขึ้นในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า แต่ยังไม่มีแผนลงทุนชัดเจน อีก 784,000 ล้านบาท โดยกลุ่ม ปตท. วางเป้าหมายทิศทางการดำเนินงาน ภายในปี 2030 ว่าจะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนสูง และเร่งการลงทุนในกลุ่มพลังงานอนาคต โดยตั้งเป้าหมายสัดส่วนกำไรจากกลุ่มธุรกิจพลังงานในอนาคตเป็น 30% โดยเดินหน้านำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่ม 9 ล้านตันต่อปี และเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเดิม 8,000 เมกะวัตต์ เป็น 12,000 เมกะวัตต์

ขณะที่เงินลงทุนของแค่ ปตท. และบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% ที่ได้รับการอนุมัติในช่วง 5 ปี ตั้งเป้าไว้ที่ 117,840 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรม การค้าระหว่างประเทศและปิโตรเลียมขั้นปลายในสัดส่วนที่มากที่สุด ทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า และการร่วมลงทุน รวมถึงพัฒนาพื้นที่อีอีซีไอ 26% รวม 30,743 ล้านบาท , ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 25% รวม 29,847 ล้านบาท , พีทีทีแอลเอ็นจี โครงการสถานีกักเก็บแอลเอ็นจี(หนองแฟบ) 21% รวม 24,042 ล้านบาท , การร่วมทุนและการลงทุนในบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100% ทั้งธุรกิจไฟฟ้า และการลงทุนในปิโตรเลียมขั้นปลาย 17% รวม 20,225 ล้านบาท และธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 ที่ 11% รวม 12,983 ล้านบาท

แผนการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของ ปตท. ยังเป็นไปตามแผน ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าจะสามารถทำผลประกอบการได้ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี หากไม่มีเหตุการณ์อื่น ๆ มากระทบรุนแรง ขณะที่มาตรดารกระตุ้นทางการคลังขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ จะส่งผลบวกต่อประเทศคู่ค้า รวมถึงการเงินโลกยังคงผ่อนคลาย ด้านอุปสงค์น้ำมันดิบดูไบจะเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้มากขึ้น ขณะที่อุปทานจะเพิ่มขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัว มีมติเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ

Advertisement

อย่างไรก็ตามผลประกอบการครึ่งแรกของกลุ่ม ปตท. ปีใน 64 เปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี 63 กลุ่ม ปตท. สามารถทำรายได้จากการขายจำนวน 1,011,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 186,201 ล้านบาท หรือ 23% จากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ทั้งจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการและราคาของ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ปรับตัวสูงขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน

ทั้งนี้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 216,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129,570 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% ตามรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้น และธุรกิจการกลั่นที่มีกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในครึ่งแรกของปี 64 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น เทียบกับขาดทุนจาก สต๊อกน้ำมันในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กลุ่ม ปตท. มีกำไรสุทธิในครึ่งแรกของปี 2564 จำนวน 57,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46,667 ล้าน บาท หรือมากกว่า 100%

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image