มติชน สมาร์ทบิซ วันที่ 20 ก.ย.2559
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา The 3rd ASEAN Fixed Income Summit ว่า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ และมีสภาพคล่องในตลาดจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวน จากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น เป็นความท้าทายของนักลงทุนที่จะมีการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้ โดยหากพิจารณาดูจะพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของประเทศต่างๆ ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับหลายปีก่อนหน้านี้
สำหรับผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลไทย 10 ปี เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 4.5% ถือว่าสูงกว่าหลายประเทศ และยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีก โดยกว่า 73% ของพันธบัตรออกโดยรัฐบาล แต่ตราสารเอกชนยังมีสัดส่วนน้อย ซึ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นโอกาสเอกชนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองตามความต้องการของนักลงทุน ภายใต้ความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้
ด้านความคืบหน้าโครงการกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ วงเงิน 1 แสนล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะสามารถออกได้ภายในปีนี้หรือต้นปีหน้า มั่นใจว่านักลงทุนจะให้ความสนใจโครงการนี้ เพราะรัฐบาลมีการการันตีผลตอบแทนจากรายได้การดำเนินโครงการที่จะเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งโครงการนี้จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด ประธานกรรมการบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ บตท. กล่าวว่า บตท.ได้ซื้อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำมาจัดออกตราสารหนี้ ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน หรือเอ็มบีเอส ขายให้แก่นักลงทุน เพื่อช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เพิ่มขึ้น ซี่งอัตราผลตอบแทนเอ็มบีเอสที่ออกไปล่าสุดปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.8% สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 1% ทำให้นักลงทุนมีความสนใจที่จะลงทุน ปัจจุบันออกตราสารหนี้ไปแล้วกว่า 11,000 ล้านบาท และในปีนี้ได้ซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยเข้ามาอีกราว 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการนำไปออกตราสารหนี้ต่อไป