ผู้เขียน | ณัฐชนัน ฐิติพันธ์รังสฤต |
---|
เศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากวิกฤตโรคระบาด ทำให้ช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ (กันยายน-ธันวาคม 2564) รัฐบาลได้เตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจไว้
หนึ่งในนั้นคือ กระตุ้นโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ให้ประชาชนใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการ และรับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เวาเชอร์) โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ อี-เวาเชอร์ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ได้รับสิทธิอี-เวาเชอร์ สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน
สาเหตุที่ต้องกระตุ้นเพราะโครงการนี้ยังไม่บูมเท่าที่ควร แม้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ด้วยความที่เป็นโครงการใหม่ผู้คนจึงลังเลเข้าร่วม ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนกว่า 4 แสนคนเท่านั้น จากเป้าหมาย 1.4 ล้านคนตรงข้ามกับโครงการคนละครึ่งที่ได้รับความนิยมมีผู้ลงทะเบียนกว่า 30 ล้านคน จากเป้าหมาย 31 ล้านคน
เป้าหมายเดิมของโครงการยิ่งใช้ คือ 4 ล้านคนใช้เต็มวงเงินตามสิทธิ จะสร้างเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณเกือบ 2 แสนล้านบาท ต่อมาเดือนสิงหาคม รัฐบาลลดเป้าหมายลงเหลือ 1.4 ล้านคน เท่ากับว่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 8.4 หมื่นล้านบาท เป้าหมายลดลงไปมาก คาดว่ารัฐบาลจะมีการทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่
หนึ่งในตัวเลือกสำคัญคือ โครงการช้อปดีมีคืน เพราะโครงการนี้เคยดำเนินการและสำเร็จมาก่อน ประชาชนที่มีกำลังซื้อให้การตอบรับ ขณะที่ภาคเอกชนจากองค์กรก็สนับสนุนให้ฟื้นโครงการช้อปดีมีคืน
ล่าสุด ทราบว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้ตัดสินใจทบทวนโครงการดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ระบุหรือยืนยันว่าโครงการช้อปดีมีคืนจะถูกนำออกมาใช้เมื่อใด จะเป็นภายในปลายปีนี้หรือไม่
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ปลายปีจะรุ่ง อย่างที่หวังหรือไม่ คงต้องลุ้นกันต่อไป