‘จิตตะ เวลธ์’ อวดผลตอบแทนโตแรงกว่า 100% ในรอบปี ผ่านเทคโนโลยีคัดสรร ‘หุ้นดี ราคาถูก’
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) สตาร์ตอัพ Wealth Tech สัญชาติไทยรายแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดให้บริการกองทุนส่วนบุคคลพร้อมอำนวยความสะดวกนักลงทุนด้วยเทคโนโลยีระดับโลกด้วยแนวคิดการลงทุนตามหลักการที่ยอมรับกันทั่วโลก ผ่านการพิสูจน์มาอย่างยาวนาน มีการทบทวนการลงทุนอัตโนมัติ(Automation) ให้แก่นักลงทุน พร้อมค่าธรรมเนียมต่ำ โดยปัจจุบันให้บริการการลงทุนผ่าน 3 ผลิตภัณฑ์หลัก คือ Jitta Ranking, Global ETF และ Thematic ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์ได้สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างน่าประทับใจ
ทั้งนี้ Jitta Ranking ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวทั้งในไทย สหรัฐฯ เทคโนโลยีของสหรัฐฯ จีน และเวียดนาม ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) จัดอันดับหุ้นดีราคาถูกนั้น พิสูจน์ให้เห็นว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (ถึง 31 สิงหาคม 2564 และย้อนหลัง 1 ปี) ผลงานที่ดีที่สุดเป็นของ Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ทำผลงานรอบ 1 ปีได้ 102.62% และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 51.63% ตามมาด้วย Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ มีผลงานในรอบ 1 ปี 56.23% และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 38.66% Jitta Ranking หุ้นไทย ในรอบ 1 ปีได้41.57% และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 31.53% Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ รอบ 1 ปี 34.99% และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 19.66% และ Jitta Ranking จีน ที่เปิดตัวเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2564 มีผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้ง 5.61% แม้จะมีปัจจัยลบจากการคุมเข้มในธุรกิจบางประเภทของทางการจีนก็ตาม
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า ทางด้าน Global ETF ซึ่งได้จัดพอร์ตในสินทรัพย์ระดับท็อปของทุกมุมโลก และกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้น หุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาล ตามทฤษฎีจัดพอร์ตรางวัลโนเบล Modern Portfolio Theory (MPT) สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยในรอบ 1 ปี 27.05% และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ ได้ 18.07% ทั้งนี้ ได้แบ่งการลงทุน Global ETF ออกเป็น 3 แผนคือ แผนพอเพียงแผนสมดุล และแผนเติบโต เพื่อให้สอดคล้องตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า สำหรับ Thematic ซึ่งเปิดบริการเมื่อปลายปี 2563 ประกอบไปด้วย 16 ธีม ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในธีมธุรกิจเมกะเทรนด์โลกผ่าน ETF ได้สูงสุดพอร์ตละ 5 ธีม โดยธีมที่ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน สูงสุดคือ ตลาดหุ้นอินเดีย (EPI) 25.79% และต่ำสุด คือเทคโนโลยีจีน (CQQQ) -13.81% โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกลงทุน 2-3 ธีม ตามความชื่นชอบซึ่ง Jitta Wealth ได้ช่วยบริหารจัดการลงทุนและปรับพอร์ตให้โดยอัตโนมัติ ทั้งนี้จากต้นปีพอร์ตการลงทุนมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 11.38% แม้วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้การลงทุนในประเทศไทยซบเซา แม้ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งก็ตาม ทำให้ที่ผ่านมานักลงทุนไทยได้ออกไปแสวงหาผลตอบแทนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น จากข้อมูล มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) พบว่าคนไทยที่นำเงินไปซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือ FIF ล่าสุด (ณ ก.ค. 2564) ตัวเลขพุ่งขึ้นไป 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากตลาดการลงทุนในต่างประเทศน่าสนใจ มีหุ้นเมกะเทรนด์ และหุ้นเศรษฐกิจสมัยใหม่ (New Economy) ให้เลือกลงทุนมากกว่า
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และบริการของ บลจ. จิตตะ เวลธ์ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับการลงทุนในยุคดิจิทัลนี้ จึงสร้างความสะดวกสบายให้กับนักลงทุนท สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้ทั่วโลก ด้วยอัลกอริทึมที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างกำไรชนะตลาดในระยะยาว พร้อมระบบการบริหารกองทุนส่วนบุคคลโดยอัตโนมัติ ที่ช่วยจัดพอร์ต กระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศโดยตรง ทำให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า จึงสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าในระยะยาว ตอบโจทย์นักลงทุนในยุคนี้
“จากการที่นโยบายการลงทุนต่างๆ ยังคงสร้างผลตอบแทนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในครึ่งปีหลังของปี 2564 นี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าถึงการลงทุนที่สะดวกสบาย สนับสนุนสังคมการลงทุนที่ไร้ขีดจำกัดให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายตราวุทธิ์ กล่าว